แนวทางการส่งเสริมสถานศึกษาสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 2) ศึกษาลักษณะที่ดี (Best practice) ของสถานศึกษาสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 และ 3) ศึกษาแนวทางในการส่งเสริมสถานศึกษาสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 จำนวน 338 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.981 และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลแบบสอบถาม ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการสัมภาษณ์ ใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยพบว่า ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) ลักษณะที่ดี (Best practice) ของสถานศึกษาสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 พบว่า การมีศีลธรรม การบริหารสถานศึกษาสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุข ต้องมีความดีงามที่ถูกปลูกฝังขึ้นในจิตใจ มีความกตัญญู ขยัน ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ เป็นสุภาพชน จนเกิดจิตสำนึกที่ดี 3) แนวทางในการส่งเสริมสถานศึกษาสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาต้องมอบหมายภาระงานให้เหมาะกับความสามารถของครูผู้สอน พร้อมทั้งต้องมีศีลธรรมในการดำเนินงาน รวมถึงการดำเนินงานที่ชัดเจนแบบมีส่วนร่วมระหว่างผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอนและบุคลากรทางการศึกษา ทำให้เกิดความสมดุลในการพัฒนางาน (Work life balance)
Downloads
Article Details
เอกสารอ้างอิง
กมลทิพย์ ใจเที่ยง (2563). การบริหารองค์กรแห่งความสุขในโรงเรียนประถมศึกษา. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, 18(2), 197 -198.
กอปรลาภ อภัยภักดิ์. (2563). บรรยากาศองค์กรแห่งความสุข คนเบิกบาน งานสำเร็จ. วารสาร มจร. มนุษยศาสตร์ปริทรรศน์, 8(1), 315 – 331.
จันทร์ทร ปานคล้า. (2557). การปฏิบัติตามจรรยาบรรณวิชาชีพของผู้บริหารสถานศึกษากับองค์กรแห่งความสุขในสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร.
ชาญวิทย์ วสันต์ธนารัตน์ และ ธีร์ธรรม วุฑฒิวัตรชัยแก้ว. (2560). องค์กรแห่งความสุข 4.0. ศูนย์องค์กรสุขภาวะ (Healthy Organization Center). วารสารโครงการส่งเสริมผลิตภาพและสุขภาวะองค์กรในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ.
ทิพวัลย์ รามรง. (2557). แนวทางการเสริมสร้างองค์กรแห่งความสุขในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 44(1), 205 – 206.
ธีระ รุญเจริญ. (2546). การบริหารโรงเรียนยุคปฏิรูปการศึกษา (พิมพ์ครั้งที่ 1). ข้าวฟ่าง.
นูร์ปาซียะห์ กูนา. (2562). ความสุขในการทํางานของคนทำงานหน่วยงานบริหารส่วนตําบล ในอําเภอ เมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี. สารนิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.
พิกุล พุ่มช้าง. (2560). การวิเคราะห์องค์ประกอบการเป็นองค์กรแห่งความสุขของสถาบันการศึกษาของไทย. Veridian E-Journal, Silpakorn University, 10(2), 661.
พุทธทาสภิกขุ. (2548). แก่นพุทธศาสตร์ (พิมพ์ครั้งที่ 4). เพชรประกาย.
ศูนย์องค์กรสุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ. (2559). กลยุทธ์เพื่อเสริมสร้างองค์กรแห่งความสุข (พิมพ์ครั้งที่ 1). Healthy Organization Center.
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). (2552). มาสร้างองค์กรแห่งความสุขกันเถอะ (พิมพ์ครั้งที่ 1). Thai Health Resource Center. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ.
อนุพงศ์ รอดบุญปาน และ นุชนรา รัตนศิระประภา. (2562). องค์กรแห่งความสุขของโรงเรียนอนุบาลกุยบุรี. วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร, 10(2), 251 – 252.
Fisher, C.D. (2010). Happiness at work. International Journal of Management Reviews, 4(12), 15 – 16.
Salas-Vallina, A. and others. (2018). “On The Road to Happiness at Work (HAW): Transformational Leadership and Organizational Learning Capability As Drivers of HAW In A Healthcare Context,”. Personnel Review. 46,2 (2017): 41-42.
Warr (2020). Workplace Happiness: A Conceptual Framework. Journal of scientific & technology research, 9(1), 29.