ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้เทคโนโลยีของผู้สูงอายุยุคดิจิทัล
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับปัจจัยการยอมรับเทคโนโลยีของผู้สูงอายุ และการเข้าถึงเทคโนโลยีของผู้สูงอายุในยุคดิจิทัล 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเข้าถึงเทคโนโลยีของผู้สูงอายุในยุคดิจิทัล การศึกษานี้ใช้แนวทางการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้เกษียณอายุราชการที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปในเขตดินแดง กรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน คัดเลือกโดยใช้วิธีการสุ่มแบบบังเอิญร่วมกับการสุ่มแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการวิจัย 1) ระดับโดยรวมของปัจจัยการยอมรับเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ของผู้สูงอายุในยุคดิจิทัลอยู่ในระดับสูง และระดับการเข้าถึงเทคโนโลยีของผู้สูงอายุที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลอยู่ในระดับสูงเช่นกัน 2) เมื่อพิจารณาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเข้าถึงเทคโนโลยีของผู้สูงอายุในยุคดิจิทัล การทดสอบสมมติฐานพบว่าปัจจัยส่วนบุคคล เช่น เพศ อาชีพปัจจุบัน โครงสร้างครอบครัว และความท้าทายในการเรียนรู้เทคโนโลยี แสดงให้เห็นว่าไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในผลกระทบต่อการเข้าถึงเทคโนโลยีในผู้สูงอายุ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ ระดับการศึกษา อาชีพก่อนเกษียณ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และประสบการณ์ในการใช้เทคโนโลยีออนไลน์ แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในการเข้าถึงเทคโนโลยีในหมู่ผู้สูงอายุที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 นอกจากนี้ พบว่าปัจจัยการยอมรับเทคโนโลยีมีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญต่อการเข้าถึงเทคโนโลยีของผู้สูงอายุในยุคดิจิทัล
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิชาการสถาบันพัฒนาพระวิทยากร
ข้อความที่ปรากฎอยู่ในบทความที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความ และข้อคิดเห็นนั้นไม่ถือว่าเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการวารสารวิชาการสถาบันพัฒนาพระวิทยากร
เอกสารอ้างอิง
โชติวัฒน์ สกุลวิริยะโรจน์. (2562). ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความพึงพอใจของผู้บริโภคและการกลับมาใช้บริการซ้ำของผู้บริโภคที่เลือกชมภาพยนตร์ไทยในโรงภาพยนตร์ของผู้บริโภคที่อยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร. สารนิพนธ์ปริญญาการจัดการมหาบัณฑิต สาขาวิทยาลัยการจัดการ. มหาวิทยาลัยมหิดล.
ดวงทิพย์ เจริญรุกข์. (2563). พฤติกรรมการใช้และการยอมรับนวัตกรรมสื่อสังคมออนไลน์ของกลุ่มผู้สูงอายุในเขตกรุงเทพมหานคร. วารสารนิเทศศาสตรปริทัศน์, 24(2): 229-237.
พนม คลี่ฉายา. (2564). การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของผู้สูงอายุและข้อเสนอเพื่อการเสริมสร้างภาวะพฤฒิพลังและผลิตภาพของผู้สูงอายุไทย. Journal of Communication Arts, 39(2): 56–78.
มาร์ติน่า เบนเวนูติ. (2563). ความเกี่ยวข้องของความสัมพันธ์ทางสังคมออนไลน์ในหมู่ผู้สูงอายุ: การใช้เว็บสามารถปรับปรุงคุณภาพชีวิตได้อย่างไร. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการพัฒนา. มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด.
มินห์ ห่าว เหงียน. (2563). การมีส่วนร่วมทางสังคมออนไลน์ของผู้สูงอายุและทุนทางสังคม. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาสาขาวิชาการบริหารการพัฒนา. มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เจียวทง.
ระวีวรรณ ทรัพย์อินทร์. (2563). สื่อกับผู้สูงอายุในประเทศไทย. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการพัฒนา. มหาวิทยาลัยศิลปากร.
สุทธยา สมสุข. (2564). พฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของผู้สูงอายุ. วารสารปาริชาต มหาวิทยาลัยทักษิณ, 33(1): 62-77.
อารยา ผลธัญญา. (2564). การใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์กับการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ .วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์, 15(3): 272-288.
อารียา ศรีแจ่ม. (2562). ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเข้าถึงเทคโนโลยีของผู้สูงอายุในยุคดิจิทัล. วิทยานิพนธ์ปริญญาเศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาเศรษฐกิจดิจิทัล. มหาวิทยาลัยรังสิต.
อดิศักดิ์ จำปาทอง. (2564). แนวทางการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดลำปาง. วารสารนิเทศศาสตร์ธุรกิจบัณฑิตย์, 15(2): 235-267.
Davis, F. (1989). Perceived Usefulness Perceived Ease of Use and User Acceptance of Information Technology. MIS Quarterly, 13: 319-340.
Kotler, P., & Armstrong, G. (2013). Principle of Marketing. 15th Edition, New Jersey: Prentice Hall.
Yasuoka, M. (2023). Designing Knowledge Management System for Traditional Craft Practitioners. American Journal of Management, 20(2): 45–58.
Siritarungsri, B., et al. (2015). Strategies for Successful Ageing Living Alone. Journalism and Mass Communication, 5(2): 87-97.