แนวทางการบริหารกิจกรรมลูกเสือของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสงขลา สตูล
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการบริหารกิจกรรมลูกเสือของสถานศึกษา 2) เปรียบเทียบการบริหารกิจกรรมลูกเสือตามขนาดของสถานศึกษา และ 3) ศึกษาแนวทางการบริหารกิจกรรมลูกเสือของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสงขลา สตูล การศึกษาแบ่งเป็น 2 ขั้นตอน คือ 1) การศึกษาระดับการบริหารกิจกรรมลูกเสือของสถานศึกษา 2) การสังเคราะห์สภาพการดำเนินงานจากการสัมภาษณ์เชิงลึก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัย จำนวน 280 คน คำนวณตามสัดส่วนจำนวนครูในแต่ละโรงเรียนและสุ่มอย่างง่ายแบบไม่ใส่คืน มีกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้โปรแกรม G*Power Analysis และเลือกผู้ให้ข้อมูลแบบเฉพาะเจาะจงเป็น ผู้บริหารและผู้กำกับลูกเสือ จำนวน 16 คน และศึกษาแนวทางการพัฒนาโดยใช้การสนทนากลุ่มกับผู้ให้ข้อมูล จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบสัมภาษณ์เชิงลึก มีความเชื่อมั่นเท่ากับ .984 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมตารฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการสังเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการบริหารกิจกรรมลูกเสือ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (𝑥̅ =4.47) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านลูกเสือ (𝑥̅ =4.49) รองลงมาคือ ด้านผู้กำกับ (𝑥̅ =4.48) โดยด้านผู้บริหารและด้านการจัดกิจกรรมลูกเสือมีค่าเฉลี่ยเท่ากัน (𝑥̅ =4.70) 2) การเปรียบเทียบขนาดสถานศึกษาในการบริหารกิจกรรมลูกเสือ พบว่า สถานศึกษาขนาดเล็กมีการบริหารกิจกรรมลูกเสือแตกต่างกับสถานศึกษาขนาดกลาง ขนาดใหญ่ และขนาดใหญ่พิเศษ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยที่สถานศึกษาขนาดกลาง ขนาดใหญ่ และขนาดใหญ่พิเศษ มีค่าเฉลี่ยของการบริหารกิจกรรมลูกเสือสูงกว่าสถานศึกษาขนาดเล็ก 3) แนวทางการบริหารกิจกรรมลูกเสือ ประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ ด้านลูกเสือ ด้านผู้บริหาร ด้านผู้กำกับ และด้านการจัดกิจกรรมลูกเสือ จากการประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ โดยภาพรวมมีความเหมาะสม
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิชาการสถาบันพัฒนาพระวิทยากร
ข้อความที่ปรากฎอยู่ในบทความที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความ และข้อคิดเห็นนั้นไม่ถือว่าเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการวารสารวิชาการสถาบันพัฒนาพระวิทยากร
เอกสารอ้างอิง
กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขปรับปรุง (ฉบับที่ พ.ศ. 2545 และกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์.
คงศักดิ์ เจริญรักษ์ และคณะ. (2548). การลูกเสือไทยพัฒนาการในยุค 2546–2548. กรุงเทพฯ: องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์.
ปิยพงษ์ คงภักดี และคณะ. (2564). การพัฒนารูปแบบกระบวนการลูกเสือเพื่อเสริมสร้างวินัยของนักเรียนในโรงเรียนระดับประถมศึกษา. Journal of Roi Kaensarn Academi, 15(1): 1-15.
ประสิทธิ์ หนูกุ้ง. (2567, 19 มกราคม). ปัญหาการจัดกิจกรรมลูกเสือของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษาสงลา สตูล. (ธิวาธร พรหมรักษา, ผู้สัมภาษณ์).
วิชัย ชัยโย. (2563). การพัฒนาทักษะของผู้กำกับลูกเสือเพื่อส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมผ่านกิจกรรม learning by doing. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา. มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา.
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. (2553). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ.
สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (2553). แนวทางการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลาง. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์.
หทัยภัทร จีนสุทธิ์. (2562). รูปแบบการบริหารกิจกรรมลูกเสือเพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตของนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 3 ในจังหวัดนนทบุรี. วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา. มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ.
อาไพ โสดาดี. (2562). บทบาทผู้บริหารกับการนำและการจัดการลูกเสือที่ดีในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 9. วารสารการบริหารการศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร, 10(1): 182-203.
Johnson, R. (2020). Effective leadership in scouting activities: A case study in secondary schools. Education Management Journal, 12(3): 45-60.
Smith, J., & Brown, K. (2019). The impact of scouting on student leadership and responsibility. International Journal of Youth Development, 15(2): 78-95.