ผลของโปรแกรมการยืดเหยียดกล้ามเนื้อเอสบีดีที่มีต่อความอ่อนตัวและมุมการเคลื่อนไหวของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและเปรียบเทียบผลของการฝึกโปรแกรมการยืดเหยียดกล้ามเนื้อเอสบีดี ที่มีต่อความอ่อนตัวและมุมของการเคลื่อนไหวของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ก่อนการฝึกและหลังได้รับโปรแกรมการฝึก 2) ศึกษาและเปรียบเทียบผลหลังการฝึกโปรแกรมการยืดเหยียดกล้ามเนื้อเอสบีดี ระหว่างกลุ่มทดลองที่มีต่อความอ่อนตัวและมุมการเคลื่อนไหวของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชายชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง โดยทำการทดสอบความอ่อนตัวด้วยวิธีนั่งงอตัว (Sit and Reach Test) โดยคัดเลือกจากนักเรียนที่มีคะแนนการทดสอบความอ่อนตัวที่ต่ำกว่า 5 เซนติเมตรลงมา แล้วแบ่งกลุ่มทดลองออกเป็น 3 กลุ่มๆ ละ 15 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ โปรแกรมการยืดเหยียดกล้ามเนื้อเอสบีดี จำนวน 8 สัปดาห์ และแบบทดสอบความอ่อนตัวและมุมการเคลื่อนไหว สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน ความแปรปรวนทางเดียวชนิดวัดซ้ำ ความแปรปรวนสองทางชนิดวัดซ้ำ และทดสอบความแตกต่างรายคู่โดยวิธีของบอนเฟอโรนี ผลการวิจัย พบว่า 1) ความอ่อนตัวและมุมการเคลื่อนไหวของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น หลังการฝึกดีขึ้นกว่าก่อนการฝึก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลการเปรียบเทียบความอ่อนตัวและมุมการเคลื่อนไหว ระหว่างกลุ่มทดลอง พบว่า ความอ่อนตัวของกลุ่มทดลองที่ 3 ดีกว่ากลุ่มทดลองที่ 1 และ 2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มุมการเคลื่อนไหวข้อสะโพกของกลุ่มทดลองที่ 2 และ 3 ดีกว่ากลุ่มทดลองที่ 1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนมุมการเคลื่อนไหวข้อเข่าและข้อเท้า พบว่า กลุ่มทดลองทั้งสามกลุ่มไม่แตกต่างกัน
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิชาการสถาบันพัฒนาพระวิทยากร
ข้อความที่ปรากฎอยู่ในบทความที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความ และข้อคิดเห็นนั้นไม่ถือว่าเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการวารสารวิชาการสถาบันพัฒนาพระวิทยากร
เอกสารอ้างอิง
ภาพพิมพ์ วังบุญคง และชัชวาลย์ วิชัยสุชาติ. (2567). การประยุกต์ใช้การยืดเหยียดกล้ามเนื้อเพื่อพัฒนาความอ่อนตัวของนักศึกษาสาขาวิชาการประถมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏ. Journal of RoiKaensarnAcademi, 9(2): 345–357.
สุภารัตน์ สุขโท. (2565). ผลการอบอุ่นร่างกายแบบเคลื่อนไหวอย่างเดียวและแบบร่วมกับการยืดกล้ามเนื้อแบบค้างไว้ต่อองศาการเคลื่อนไหว ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและความเร็ว. วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและเทคโนโลยี, 47(2): 111-122.
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ. (2566). รายงานสุขภาพคนไทย ปี 2566. https://www.thaihealth.or.th/e-book/รายงานสุขภาพคนไทย-ปี-2566
สำนักงานวิทยาศาสตร์การกีฬา กรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา. (2562). แบบทดสอบและเกณฑ์มาตรฐานสมรรถภาพทางกายของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา. https://www.dpe.go.th/sports-science
American College of Sports Medicine. (2018). ACSM’s guidelines for exercise testing and prescription. (10th ed.). Philadelphia, PA: Wolters Kluwer.
Cai, P., et al. (2023). Dynamic and static stretching on hamstring flexibility and stiffness: A systematic review and meta-analysis. Heliyon, 9(8): 178-211.
Faigenbaum, A. D., & Myer, G. D. (2010). Resistance training among young athletes:Safety, efficacy, and injury prevention effects. British Journal of Sports Medicine, 44(2): 56–63.
Harvard Health Publishing. (2023). The importance of stretching. Harvard Medical School. https://www.health.harvard.edu/staying-healthy/the-importance-of-stretching
Gesel, F., et al. (2022). Acute effects of static and ballistic stretching on muscle-tendon unit stiffness, work absorption, strength, power, and vertical jump performance. Journal of Strength and Conditioning Research, 36(8): 2147–2155.
Menek, H., & Yılmaz, A. (2021). The effects of different stretching types and percussion massage on flexibility and performance in athletes. Journal of Sports Science and Medicine, 20(3): 123–130.