องค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนกระทุ่มแบน “วิเศษสมุทคุณ”

Main Article Content

ณัชวรรณ น่วมทะนงค์
ศักดิพันธ์ ตันวิมลรัตน์

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงเพื่อทราบ 1) องค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนกระทุ่มแบน “วิเศษสมุทคุณ” 2) แนวทางการพัฒนาองค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนกระทุ่มแบน“วิเศษสมุทคุณ” กลุ่มตัวอย่าง คือ ครู และผู้บริหาร ของโรงเรียนกระทุ่มแบน“วิเศษสมุทคุณ” จำนวน 86 คน เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย คือ แบบสอบถามความคิดเห็น และแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได่แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่ามัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1. องค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนกระทุ่มแบน “วิเศษสมุทคุณ” โดยภาพรวม และรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงตามค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปน้อย คือ การจัดการเรียนรู้ การปรับเปลี่ยนองค์การ พลวัตแห่งการเรียนรู้ การเสริมพลังบุคคล และ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 2. แนวทางการพัฒนาองค์การเรียนรู้ของโรงเรียนกระทุ่มแบน “วิเศษสมุทคุณ” พบว่า มีแนวทางการพัฒนา 8 แนวทาง ดังนี้ 1) บุคลากรในโรงเรียนได้เรียนรู้จากการปฏิบัติงาน และนำความรู้ไปแลกเปลี่ยนร่วมกันกับสมาชิกในองค์การ 2) ผู้บริหารสนับสนุน และเปิดโอกาสให้บุคลากรในโรงเรียนได้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ พร้อมทั้งสนับสนุนให้ทุกคนในโรงเรียนได้เรียนรู้ และพัฒนาตนเองอย่างสม่ำเสมอ 3) มีการสื่อสารภายในโรงเรียนที่ชัดเจนเพื่อสร้างความเข้าในในการทำงานร่วมกัน 4) มีการกระจายอำนาจ ภาระงาน สู่ทุกคน ในองค์การ โดยมอบหมายตามความสามารถ ประสบการณ์ อย่างเหมาะสม 5)  มีการจัดทำ จัดเก็บ ข้อมูลสารสนเทศ อย่างเป็นระบบ ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และนำข้อมูลสารสนเทศมาใช้ในการบริหารจัดการ และพัฒนาองค์ความรู้ของโรงเรียนได้ 6) มีการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการปฏิบัติงาน การสื่อสารภายองค์การ และเผยแพร่ผลงานของ นักเรียน ครู ผู้บริหาร และโรงเรียน 7) ควรเปิดโอกาสให้ชุมชน เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย หลักสูตรสถานศึกษา กิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียน 8) นำข้อมูล ข่าวสาร กระบวนการ และวิธิการปฏิบัติที่เป็นเลิศมาปรับใช้ในการดำเนินงานของค์การ

Article Details

ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

กระทรวงศึกษาธิการ. (2561). ประกาศกระทรวงศึกษาธิการเรื่อง ให้ใช้มาตรฐานการศึกษา ระดับปฐมวัย ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน และระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานศูนย์การศึกษาพิเศษ. ประกาศลงวันที่ 6 สิงหาคม 2561. กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์ จำกัด.

งานจัดการความรู้ คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล. (2551). องค์กรแห่งการเรียนรู้เป็นอย่างไร

รู้ได้อย่างไร?. สืบค้นข้อมูลเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2566 จาก https://www2.si.mahidol.ac.th/km/knowledgeassets/kmexperience/kmarticle/4134/.

พวงรัตน์ ทวีรัตน์. (2540). วิธีการวิจัยพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์. (พิมพ์ครั้งที่ 7). กรุงเทพฯ: สำนักทดสอบทางการศึกษาและจิตวิทยา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร.

มารยาท โยทองยศ และปราณี สวัสดิสรรพ์. (2544). การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างเพื่อการวิจัย. กรุงเทพฯ: ศูนย์บริการวิชาการ สถาบันส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม.

เมฐยา แย้มโชติ. (2556). การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์. วิทยานิพนธ์ภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร.

วราภรณ์ ปานเพ็ชร. (2560). องค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนวัดดอนมะนาว. การค้นคว้าอิสระการบริหารการศึกษา. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร.

วีรภัทร รักชนบท. (2561). องค์กรแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9. การค้นคว้าอิสระ การบริหารการศึกษา. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร.

สุชาดา รักอก. (2565). แนวทางการพัฒนาองค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนบรมราชินีนาถราชวิทยาลัย. การค้นคว้าอิสระการบริหารการศึกษา. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร.

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. (2545). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545. กรุงเทพฯ: พริกหวานกราฟฟิค.

สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2560). แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560–2579. กรุงเทพฯ: พริกหวานกราฟฟิค.

Michael J. Marquardt. (2002). Building the Learning Organization: A System Approach to Quantum Improvement and Global Success. (Palo Alto CA: Davies-Black Publishing, Inc.