การพัฒนารูปแบบการเฝ้าระวังป้องกันโรคติดเชือไวรัสโคโรนา 2019 โดยการมีส่วนร่วมของชุมชนตำบลหนองบ่อ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหาอุปสรรคและแนวทางการเฝ้าระวังป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 2) พัฒนารูปแบบการเฝ้าระวังป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 3) ศึกษาผลการใช้รูปแบบการเฝ้าระวังป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย บุคลากรสาธารณสุข และภาคีเครือข่าย จำนวน 74 คน และกลุ่มคนสำหรับการประเมินผลรูปแบบ จำนวน 267 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบบันทึกการสนทนากลุ่ม แบบสอบถาม และแบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติทดสอบ Paired Sample t- test และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา
ผลการวิจัย พบว่า 1) รูปแบบเก่า เป็นการดำเนินการตามแนวทางและมาตรการของคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่ออำเภอเมือง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ซึ่งปัญหาและอุปสรรคที่พบ คือ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่มีภาระงานเพิ่มขึ้น ขาดความมั่นใจในการปฏิบัติงาน ประชาชนขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการติดต่อ และการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เกี่ยวกับโรคขาดการมีส่วนร่วมจากชุมชน 2) รูปแบบใหม่ที่ได้จากการศึกษา คือ รูปแบบการเฝ้าระวังป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ประกอบด้วย 5 มาตรการ ดังนี้ มาตรการที่ 1 ติดตามการเฝ้าระวังป้องกันโรค ในชุมชน มาตรการที่ 2 เสริมสร้างความรู้เรื่องโรค มาตรการที่ 3 ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการเฝ้าระวังโรค มาตรการที่ 4
ส่งต่อ/รักษา มาตรการที่ 5 สร้างเครือข่ายการเฝ้าระวังโรคในชุมชน 3) ผลของการใช้รูปแบบฯ คือ ความรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พฤติกรรมการเฝ้าระวังป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 และการมีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีระดับคะแนนดีขึ้นกว่าก่อนการพัฒนา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (P<0.001, 95%Cl =2.91-3.29, P<0.001, 95%Cl=0.28-0.12 และ P<0.001,95% Cl=0.62-0.50 ตามลำดับ)
Downloads
Article Details
ลิขสิทธิ์บทความวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ห้ามนำข้อความทั้งหมดหรือบางส่วนไปพิมพ์ซ้ำ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากมหาวิทยาลัยเป็นลายลักษณ์อักษร
ความรับผิดชอบ เนื้อหาต้นฉบับที่ปรากฏในวารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นความรับผิดชอบของผู้นิพนธ์บทความหรือผู้เขียนเอง ทั้งนี้ไม่รวมความผิดพลาดอันเกิดจากเทคนิคการพิมพ์
References
ถนอม นามวงศ์ และคณะ. (2564). การพัฒนาระบบเฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จังหวัดยโสธร. วารสารควบคุมโรค. 47(ฉบับเพิ่มเติม), 1179-1190.
ทนงศักดิ์ หลักเขต. (2565). การพัฒนารูปแบบการเฝ้าระวัง ควบคุม และป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อําเภอเมืองอุบลราชธานี ด้วยกระบวนการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ (พชอ.). วารสารวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางสุขภาพ. 3(3), 61-69.
ทวิติยา สุจริตรักษ์. (2563). ประเด็นน่ารู้เกี่ยวกับไวรัส SARS-CoV-2: ไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคโควิด-19. สืบค้นจาก https://www.pidst.or.th/A966.html.
แพรพรรณ ภูริบัญชา, ชิดพงษ์ มงคลสินธุ์, และปวีณา จังภูเขียว. (2565). การพัฒนารูปแบบการเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในพื้นที่เฉพาะ (Bubble and Seal) ของสถานประกอบการ จังหวัดมหาสารคาม. วารสารวิชาการสาธารณสุข. 31(1), 49-63.
ศูนย์ข้อมูล COVID จังหวัดอุบลราชธานี. (2564). รายงานสถานการณ์ โควิด-19. สืบค้นจาก https://covid19.th-stat.com.
ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2563). ข้อมูลสำหรับการป้องกันตนเองจากโรค COVID-19 เอกสารเผยแพร่สำหรับประชาชน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
สํานักงานองค์การอนามัยโลกประจําประเทศไทย. (2564). โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด 19). สืบค้นจาก https://cdn.who.int/media/docs/defaultsource/searo/thailand/2021
Daniel, W.W. (1999). Biostatistics : A foundation of analysis in heatth sciences. (7"ed.) New York: John Wiley & Sons.
Kemmis, S., & McTaggart, R. (1991). The Action Research Planer. 3rd ed. Victoria: Deakin University.
World Health Organization. (2020). Guidelines on physical activity and sedentary behaviour. Geneva: World Health Organization.