ในทศวรรษที่ 2020 ประสบการณ์สงครามเย็นมักจะเป็นเรื่องของคนเกิดหลังสงครามโลกครั้งที่สอง คนเกิดก่อนหน้านั้นส่วนใหญ่ก็มักตายกันไปมากมายแล้ว  สงครามเย็นเป็นวิถีชีวิตของคนเกิดหลังสงครามโลกจนถึงทศวรรษที่ 1970 โดยประมาณ  แต่สงครามเย็นที่ยังไม่ตายจะได้กลายมาเป็นวิถีชีวิตของผู้คนรุ่นเกิดในปลายศตวรรษที่ยี่สิบเป็นต้นมา  สงครามเย็นใหม่ (New Cold War) ไม่ว่าจะเริ่มต้นเมื่อใดตามความคิดของนักประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็ตาม [เพราะการแบ่งยุค (periodization) เป็นปัญหาสำคัญของการทำมาหากินของนักประวัติศาสตร์]  หรือคำๆ นี้จะเหมาะสมหรือไม่ก็ตาม  ความหวาดกลัวต่อสงครามทำลายล้างโลกไปจนถึงระดับสงครามนิวเคลียร์ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง  ภาพยนตร์ของ Christopher Nolan เรื่อง ‘Oppenheimer’ (2023)  อาจจะช่วยตอกย้ำความน่ากลัวของสงครามปรมาณู ประโยค “Now I am become Death, the destroyer of worlds.” เป็นผีที่มาหลอกหลอนผู้คน

สำหรับโครงสร้างประชาน (cognitive structure) ของคนที่เกิดในทศวรรษที่ 1980 เป็นต้นมาสงครามเย็นสิ้นสุดลงแล้ว  วัตถุนิยมประวัติศาสตร์ได้กลายเป็นเพียงฟอลซิล   ทุนนิยมยังไม่ได้ถูกทำลาย  แต่กลับแข็งแกร่งและทรงพลังมากขึ้นกว่าเดิม  ชัยชนะของทุนนิยม เสรีประชาธิปไตย ได้รับการสรรเสริญ  สำหรับคนบางคนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้   ไม่มีทางเลือกอื่น    

คำว่าทุนนิยมมักจะไม่อยู่ในพจนานุกรมของผู้สนับสนุนระบบเศรษฐกิจแบบนี้  นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักบางคนจึงไม่เลือกใช้คำๆ นี้  เฉกเช่นเดียวกันกับนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมักจะไม่เลือกใช้คำว่าเสรีนิยมใหม่  อะไรคือเสรีนิยมใหม่จึงกลายเป็นข้อโต้แย้งทางอุดมการณ์  แม้ว่าวิชาเศรษฐศาสตร์จะเป็นอุดมการณ์แบบหนึ่งในสายตาของคนบางคนก็ตาม

ในต้นศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดคลื่นความหนาวเย็นของสงครามเย็นที่กลับร้อนระอุนั้นมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น   ประเด็นการขยายตัวของ NATO ออกนอกบริเวณเดิมๆ ปรากฏเด่นชัด  แม้ว่าความคิดเรื่องการขยายตัวของ NATO เป็นอะไรที่เห็นได้มาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ยี่สิบ  เพียงแต่การขยายตัวของ NATO ไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในยุโรปอีกต่อไป  เช่น การ ‘บุก/แทรกแซง’ ลิเบีย ( ค.ศ. 2011) เป็นต้น  การขยายอำนาจของจีนก็ยังเป็นปัญหาของ NATO  พลังของสังคมและความคิดแบบแอตแลนติคเหนือ (North Atlantic Society) ขยายตัวไปอย่างมากผ่านพลังโลกาภิวัฒน์ที่มอบความอภิวัฒน์ทางชนชั้นให้กับคนบางกลุ่ม เช่น นักธุรกิจด้านการเงิน เป็นต้น

หลังสงครามโลกครั้งที่สองสงครามเย็นในเอเชียนำไปสู่สงครามในหลายต่อหลายที่ เช่น สงครามเกาหลี  สงครามเวียดนาม เป็น  นับตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ยี่สิบเป็นต้นมาการขึ้นมามีอำนาจของเผด็จการจีน (คอมมิวนิสต์) ในเอเชียตะวันออกทำให้สงครามเย็นในเอเชียตะวันออกร้อนระอุมากยิ่งขึ้น  การแข่งขันกันของมหาอำนาจเป็นวิถีชีวิตที่สำคัญของคริสเตียนยุโรปผิวขาว 

ประวัติศาสตร์ยุโรปเป็นการต่อสู้เพื่อการขยายอำนาจที่เริ่มจากการขยายตัวของอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า (Kingdom of God)  สัญลักษณ์ “จักร” หรือ “ล้อรถม้า” ที่หมุนไปบนพื้นที่ต่างๆ แสดงถึงการขยายขอบเขตอำนาจ  แต่อำนาจไม่ว่าจะเป็นระดับใดก็มีขึ้นมีลง  จากโปรตุเกส สเปน สวีเดน ไล่มาถึงอังกฤษ ต่างเป็นตัวอย่างที่ดี  เพียงแต่ใครๆ ก็อยากจะรักษาตำแหน่งสูงสุดของห่วงโซ่อำนาจ 

ในปลายศตวรรษที่สิบเก้าการขึ้นมามีอำนาจของสหรัฐอเมริกาสั่นสะเทือนสถานะมหาอำนาจของอังกฤษ  โดยก่อนหน้านั้นก็คือการขยายอำนาจของเยอรมนีในทศวรรษที่ 1880 เมื่อเยอรมนีต้องการเป็นจักรวรรดิเช่นเดียวกันกับมหาอำนาจอื่นๆ ในยุโรป เช่น เบลเยี่ยม เป็นต้น  การแข่งขันกันเพื่อขยายอำนาจของอังกฤษต้องเผชิญกับสหรัฐอเมริกาในทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้  เมื่ออังกฤษต้องการขยายอำนาจออกไปครอบครองพื้นที่นอกเหนือ ‘British Guiana’ นับตั้งแต่กลางศตวรรษที่สิบเก้า  เนื่องด้วยดินแดนที่ปัจจุบันคือเวเนซูเอล่านั้นมีทั้งทองและทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ อีกมากมาย 

การเผชิญหน้ากันของอังกฤษและเหล่าอดีตประเทศอาณานิคมลาตินอเมริกากลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  เวเนซูเอล่าดึงเอาสหรัฐอเมริกาเข้ามาปกป้องตาม ‘Monroe Doctrine’ ในการต่อสู้กับการขยายอำนาจของอังกฤษ  พลังอำนาจของสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดี Grover Cleveland กดดันให้อังกฤษเซ็น ‘Treaty of  Arbitration’ (1897) เพียงแต่สันติภาพและข้อตกลงที่อยู่ในกระดาษไม่ได้ส่งผลจริงจัง  ความขัดแย้งดำเนินมาจนถึงทศวรรษที่ 1960 เมื่อมีการตกลงกันระหว่างเวซูเอล่า บริติชกียาน่า และอังกฤษ ใน ‘Geneva Agreement’ (1966)

การขยายอำนาจของสหรัฐเล็กๆ อเมริกากลายมาเป็นสหรัฐใหญ่ๆ อเมริกาจากฝั่งแอตแลนติคไปจนถึงแปซิฟิคนั้นไม่ได้หยุดที่รัฐวอชิงตันและอลาสก้า  แต่ยังขยายตัวเข้ามาในมหาสมุทรแปซิฟิค  ความจำเป็นของการพิทักษ์ผลประโยชน์ของดินแดนฝั่งแปซิฟิคทำให้เกิดคำถามว่าจะครอบครองอดีตหมู่เกาะแซนวิช (Sandwich Islands) ดีหรือไม่กลายมาเป็นประเด็นสำคัญ  ในปลายศตวรรษที่สิบเก้าความหวาดวิตกต่อการขยายตัวของรัฐจีนที่ในประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยการขยายดินแดนนั้นก่อให้เกิดความหวาดวิตกว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น  ถ้าจีนไม่ได้อ่อนแออีกต่อไป 

ความคิดทางด้านภูมิการเมือง (geopolitics) ในปลายศตวรรษที่สิบเก้าไปบ้าง  เพราะไม่ใช่จีนที่ขยายอำนาจแต่เป็นญี่ปุ่นที่กลายมาเป็น “ภัยเหลือง” (Yellow Peril) ในสายตาของเหล่าคริสเตียนผิวขาว  การขยายอำนาจของญี่ปุ่นทำให้การเผชิญหน้ากับสหรัฐอเมริกาจบลงด้วยสงครามมหาเอเชียบูรพาที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ต่อพลังมหาอำนาจแองโกล-อเมริกัน (Anglo-American)  แต่ไม่ว่าจะเป็นจีนหรือญี่ปุ่นประเทศในเอเชียตะวันออกเป็นปัญหาสำหรับมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาเสมอ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายอำนาจทางทะเล  การขยายอำนาจที่ต่างฝ่ายต่างก็ต้องปกป้องเขตอิทธิพลและผลประโยชน์ของตัวเอง  การปกป้องเขตแดน (territorial imperative) มักจะถูกยกขึ้นมาว่าเป็นธรรมชาติของสัตว์และมนุษย์ 

ธเนศ วงศ์ยานนาวา

 

หมายเหตุ: ผู้ที่สนใจตัวเล่มฉบับเต็มของวารสารสามารถติดต่อได้ที่ [email protected]

เผยแพร่แล้ว: 2022-08-15