การเผยแพร่งานวิชาการที่มีคุณภาพ มีความหลากหลายของเนื้อหาและสาระที่เกี่ยวข้องกับ “ไทยศึกษา” อย่างสมสมัย ยังคงเป็นภารกิจสำคัญในการจัดทำวารสารไทยคดีศึกษาเสมอมา กล่าวเฉพาะวารสารไทยคดีศึกษา ปีที่ 18 ฉบับที่ 1 เล่มนี้ นับเป็นเล่มที่มีองค์ประกอบเนื้อหาบทความที่หลากหลายเป็นพื้นแบบ “พหุศาสตร์” ไม่ว่าจะเป็น ความทรงจำของ “อดีตสหาย” งานประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาพิจารณาผ่านพระราชกรณียกิจของอดีตพระมหากษัตริย์ และผ่านวัฒนธรรมหนังสือไทย ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่นไทย งานศึกษาเชิงสังคมวิทยาเกี่ยวกับโลกของคนรับเลี้ยงสุนัขจรจัด และการแพทย์แผนไทยในการรักษาโรคมะเร็ง
บทความแรก สงครามความทรงจำและการเปลี่ยนแปลงความคิดเกี่ยวกับอดีตของ “อดีตสหาย” ในช่วงระหว่างทศวรรษ 2520 - 2550 ของ ธิกานต์ ศรีนารา เป็นการศึกษาและอธิบายความเปลี่ยนแปลงทางความคิดของบรรดาผู้ที่เคยจับอาวุธกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) เพื่อต่อสู้กับรัฐไทย ศึกษาผ่านงานเขียนที่เป็น “บันทึกความทรงจำ” ในช่วง พ.ศ. 2522 - 2558 ธิกานต์พบว่าข้อเขียนของคนเหล่านี้ มีความเปลี่ยนแปลงของชุดเรื่องเล่าและความทรงจำที่เปลี่ยนไปตามสภาพการเมืองไทย และเงื่อนไขภววิสัยที่แวดล้อมพวกเขา จากแรกเริ่มในช่วงปลายทศวรรษ 2510 - ต้นทศวรรษ 2520 ที่ความทรงจำถูกฉายภาพชีวิตนักปฏิวัติอันโรแมนติก ก่อนที่ความทรงจำจะเปลี่ยนเป็นภาพเชิงลบในยุคป่าแตกหลังการล่มสลายของ พคท. ครั้นช่วงหลังพฤษภาคม 2535 - ทศวรรษ 2540 ความทรงจำของ “อดีตสหาย” ดูจะแปรเปลี่ยนไปในเชิงบวกมากขึ้น และคลี่คลายไปสู่ความทรงจำประเภท “ประสบการณ์อันทรงคุณค่าแห่งชีวิต” ซึ่งเป็นความทรงจำชุดล่าสุด ความเลื่อนไหลของชุดความทรงจำนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยให้เข้าใจวิธีอธิบายตัวตนของ “อดีตสหาย” ที่ปรับเปลี่ยนไปตามเงื่อนไขกาลเวลา สิ่งนี้ยังครอบคลุมไปถึงคำอธิบายเกี่ยวกับ “คนเดือนตุลาฯ” จึงนับได้ว่าข้อเขียนนี้มีคุณูปการต่อ “Octobrist Studies” ด้วย
ประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาเป็นมุมมองอีกแขนงหนึ่งที่สามารถนำมาศึกษาอดีตเพื่อการตีความใหม่ ดังบทความ การสร้างเสริมพระราชอำนาจนำในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ผ่านการนิยาม “ความเป็นไทย” อย่างสยามเก่า ของ ปวีณา หมู่อุบล ที่พยายามตีความยุคสมัยรัชกาลที่ 3 ใหม่ ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่าด้วยปัญหาเสถียรภาพทางการเมือง การแข่งขันทางอำนาจของชนชั้นนำสยามในยุคนั้น ทำให้พระราชสถานะของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวหามั่นคงไม่ เมื่อประกอบกับความเปลี่ยนแปลงทางสังคมโดยเฉพาะการเคลื่อนย้ายของกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น คนลาว เขมร มอญ ที่เข้ามาเป็นประชากรสยามในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยาเป็นจำนวนมาก สิ่งนี้ทำให้พระบาทสมเด็จพระ นั่งเกล้าฯ จำเป็นต้องสร้างเสริม “พระราชอำนาจนำ” ของพระองค์ ด้วยวิธีการนิยามความหมาย “ความเป็นไทย” อย่าง “สยามเก่า” โดย การนิยามนี้ได้ทำให้พระองค์ดำรงพระราชสถานะ “ธรรมิกราชาธิราช” เหนือกลุ่มคนชาติพันธุ์ต่าง ๆ อย่างแท้จริง ที่สำคัญคือการ “ครองอำนาจนำ” เหนือกลุ่มเจ้านายและขุนนางที่แวดล้อมพระองค์อีกด้วย กระนั้นก็ตาม “ความเป็นไทย” ที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงนิยาม ก็เป็นคนละชุดกับ “ความเป็นไทย” ที่ชนชั้นนำสยามสมัยรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์เพียรสร้างขึ้นอย่างสิ้นเชิง
บทความ วัฒนธรรมหนังสือของไทยสมัยรัชกาลที่ 4 - ต้นรัชกาลที่ 9 กรณีศึกษาจากหนังสืออ่านให้ความรู้เชิงวิชาการ ของ วรรณพร พงษ์เพ็ง เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของงานประวัติศาสตร์ภูมิปัญญา ที่มุ่งสำรวจและวิเคราะห์ “วัฒนธรรมหนังสือวิชาการไทย” ข้อค้นพบสำคัญคือ งานเขียนทั้งหมดล้วนถูกผลิตขึ้นโดยชนชั้นนำทางวัฒนธรรม นักประพันธ์ที่เป็นเชื้อพระวงศ์ และนักวิชาการที่เป็นชนชั้นสูง พวกเขาผลิตงานใน 3 ห้วงเวลาคือ ช่วงที่สยามเผชิญหน้ากับการล่าอาณานิคม ช่วงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พร้อมกันนี้ยังค้นพบว่า ปัจจัยทางการเมืองได้ส่งผลต่อการผลิตสร้างหนังสือความรู้เกี่ยวกับสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ที่ต่อเนื่องและเผยแพร่ซ้ำมากกว่ากลุ่มความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เนื่องจากหนังสือประเภทนี้มีส่วนสำคัญในการสืบทอดอุดมการณ์ความรู้เกี่ยวกับ “ความเป็นไทย” ที่สนับสนุนอุดมการณ์แห่งรัฐอย่างชัดเจน อาจกล่าวได้ว่าเนื่องจากผู้บุกเบิกความรู้ในบริบทสังคมไทยผ่านการเขียนหนังสือ ล้วนเป็นชนชั้นนำในทางวัฒนธรรม ไม่ก็เป็นชนชั้นนำทางการเมือง ดังนั้น การครองอำนาจนำผ่านวัฒนธรรมหนังสือจึงเกิดขึ้นได้ สิ่งนี้ยังเป็นไปดังคำกล่าวที่ว่า “ความรู้คืออำนาจ”
ในส่วนองค์ความรู้ที่เป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบายทางรัฐศาสตร์ มีอยู่ในบทความ อดีต ปัจจุบัน และข้อเสนอแนะเชิงทิศทางสู่อนาคต ความสัมพันธ์ระหว่างข้าราชการการเมืองท้องถิ่นกับข้าราชการประจำขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของประเทศไทย ของ สุทธิเกียรติ อังกาบูรณะ ที่นำผู้อ่านเข้าไปทำความเข้าใจถึงสภาพปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างข้าราชการการเมืองท้องถิ่น กับข้าราชการประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จากการศึกษาพบว่ามีทั้งปัญหาระบบอำนาจในการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นและการบริหารจัดการท้องถิ่น การบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นที่ไม่เป็นธรรมตามระบบคุณธรรม การทุจริตคอรัปชั่น ไปจนถึงความขัดแย้งและความรุนแรงระหว่างข้าราชการท้องถิ่นทั้งสองประเภท ผู้เขียนยังได้เสนอแนะตัวแบบความสัมพันธ์ระหว่างข้าราชการการเมืองท้องถิ่นกับข้าราชการประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เสริมสร้างให้เกิด “ความสมดุลใหม่” ระหว่างความเป็นประชาธิปไตยท้องถิ่น และความเป็นอิสระของท้องถิ่น กับระบบคุณธรรม พร้อมกันนี้ ยังมีข้อเสนอที่รัฐบาลควรเป็นผู้วางมาตรการและกลไกต่าง ๆ เพื่อสร้างหลักประกันถึงความเป็นอิสระตลอดจนทบทวนแก้ไขกฎหมาย ระเบียบมาตรฐานหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นให้สอดคล้องต่อ “ระบบคุณธรรม” อีกด้วย
บทความเรื่อง โลกของคนเลี้ยงสุนัขจรจัด: ประสบการณ์ชีวิต มุมมองและการให้ความหมาย ของ นิศา สุขประเสริฐ น่าจะเป็นงานที่ช่วยให้เข้าใจถึงตัวตน “คนเลี้ยงสุนัขจรจัด” มากยิ่งขึ้น จากเดิมที่ภาพลักษณ์คนเลี้ยงสุนัขจรจัด อาจถูกมองอย่างแปลกแยก ปนเปื้อนด้วยความสกปรก สร้างความเดือดร้อนรำคาญแก่สังคมจนถูกมองเป็นภาพลบ ข้อค้นพบสำคัญคือผู้เลี้ยงสุนัขจรจัดล้วนมีกระบวนการเข้าสู่การเป็นผู้เลี้ยง โดยเริ่มต้นจากพบเจอสุนัขจรจัดที่กำลังเผชิญกับปัญหาหรือความยากลำบากบางประการ สถานการณ์นี้นำไปสู่การตีความว่าสุนัขเหล่านี้ “สมควรได้รับการช่วยเหลือ” กระทั่งเมื่อนำสุนัขตัวแรกมาเลี้ยงที่บ้าน จนมีประสบการณ์ การเลี้ยงสุนัขจรจัดตัวต่อ ๆ มามักเกิดขึ้น สำหรับสิ่งที่คนเลี้ยงสุนัขจรจัดมักมีร่วมกันก็เช่น ทัศนคติที่ว่าการกระทำนี้คือการช่วยเหลือสังคมและชีวิตเพื่อนร่วมโลก ความเชื่อว่าการช่วยเหลือสุนัขจรจัดเป็นการสะสมบุญ ผู้เลี้ยงสุนัขจรจัดมักได้แรงสนับสนุนจากครอบครัว และบ่อยที่มักต้องเผชิญกับแรงเสียดทานจากเพื่อนบ้าน หลังนำสุนัขจรจัดเข้ามาเลี้ยงที่บ้าน ปฏิเสธไม่ได้ว่าชีวิตของผู้เลี้ยงได้เปลี่ยนไป ทั้งการจัดสรรพื้นที่เลี้ยงในบ้าน ชีวิตการทำงาน การจัดสรรรายได้ การพักผ่อน แต่กระนั้นสิ่งนี้คือความสุขของชีวิตที่เลือกแล้ว เพราะสำหรับพวกเธอ “สุนัข จรจัดเป็นมากกว่าสัตว์เลี้ยง”
สำหรับบทความ ปัจจัยในการตัดสินใจรักษาโรคมะเร็งด้วยศาสตร์แพทย์แผนไทย ผลการรักษา และคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งเข้ารับการรักษา ณ มูลนิธิจิตเมตตาเพื่อผู้ป่วยมะเร็งแห่งประเทศไทย จังหวัดเพชรบุรี ของ ธรรมรัตน์ ทุ่ยอ้น พลวัตร มากี และอรุณพร อิฐรัตน์ มีข้อเสนอที่ชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยส่วนบุคคลที่ช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งตัดสินใจในการรักษาด้วยการแพทย์แผนไทย คือ ข้อมูลจากผู้ป่วยที่หายแล้ว ความเชื่อของตนเองและครอบครัวที่สนับสนุน ขณะที่ปัจจัยในการช่วยตัดสินใจก็คือ ความรู้เกี่ยวกับการแพทย์แผนไทยและยาไทยที่ผู้ป่วยมีและเคยนำมาปฏิบัติใช้ และที่สำคัญที่สุดก็คือความเชื่อมั่นและทัศนคติเชิงบวกของผู้ป่วย แม้จะทราบว่ายาสมุนไพรนั้น ๆ ยังไม่มีข้อมูลตอบรับและยืนยันในเชิงวิทยาศาสตร์ก็ตาม นอกจากนี้ ปัจจัยเสริมที่ทำให้การรักษาโรคมะเร็งด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทยเป็นไปด้วยดีก็คือความร่วมมือของผู้ป่วยในการปฏิบัติตนดูแลตนเองอย่างเคร่งครัด
วารสารไทยคดีศึกษาฉบับนี้ยังมีบทวิจารณ์หนังสือ สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง รัฐประหาร ความชอบธรรม พิธีกรรม และศิลปะ ของ พิชญา สุ่มจินดา วิจารณ์โดย คงสัจจา สุวรรณเพ็ชร ที่เป็นการประมวลประเด็นสำคัญของหนังสือ พร้อมทั้งเชื่อมโยงกับงานวิชาการอื่น ๆ ได้อย่างแหลมคม ทั้งน่าจะเป็นการผลักพรมแดนข้อถกเถียงบางส่วนของหนังสือเล่มนี้ ที่มากไปกว่าประเด็น “เศียรใหญ่” ใช่เศียรพระศรีสรรเพชญหรือไม่ อีกด้วย นอกจากนี้ เนื้อหายังมีข่าวกิจกรรมวิชาการ - ศิลปะและวัฒนธรรมที่สถาบันไทยคดีศึกษา จัดขึ้นในช่วงเดือนมกราคม - มิถุนายน พ.ศ.2564 ตลอดจนข่าวประชาสัมพันธ์ โครงการประชุมวิชาการระดับชาติฉลองครบรอบ 50 ปี การก่อตั้งสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ “มองโลกในไทย มองไทยในโลก” ซึ่งได้รวบรวมสรุปสาระสำคัญของกิจกรรมเหล่านี้ไว้ด้วย
สุดท้ายนี้กองบรรณาธิการหวังว่าวารสารไทยคดีศึกษาจะเป็นเวทีและสื่อกลางในการเผยแพร่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้าน “ไทยศึกษา” ที่สามารถตอบโจทย์ในด้านวิชาการและเป็นคุณูปการต่อสังคม อีกทั้งเป็นวารสารทางวิชาการที่ผู้สนใจให้การสนับสนุนต่อไป
หัวหน้ากองบรรณาธิการ
เผยแพร่แล้ว: 2021-06-29