การศึกษาความสามารถในการทำงานร่วมกันเป็นทีม โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะ 6 ขั้นตอน เรื่องโมเมนตัม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนไผ่ใหญ่ศึกษา
A Study of Collaborative Work Skills through a 6-Step Inquiry-Based Learning on Momentum for Grade 11 Students at Phai Yai Suksa School
คำสำคัญ:
การทำงานร่วมกันเป็นทีม; การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ 6 ขั้นตอน เรื่องโมเมนตัม 2. เพื่อศึกษาความสามารถในการทำงานร่วมกันเป็นทีมของนักเรียน กลุ่มที่ศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 17 คน ซึ่งมาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ 6 ขั้นตอน เรื่องโมเมนตัม 2) แบบประเมินความสามารถในการทำงานร่วมกันเป็นทีม และ 3) เกณฑ์การประเมินความสามารถในการทำงานร่วมกันเป็นทีม วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษา พบว่า แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ 6 ขั้นตอน เรื่องโมเมนตัม มีค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC เท่ากับ 0.61 แบบประเมินความสามารถในการทำงานร่วมกันเป็นทีม มีค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC เท่ากับ 0.72 มีความเหมาะสมสามารถนำมาใช้งานได้ และคะแนนความสามารถในการทำงานร่วมกันเป็นทีมของนักเรียนระหว่างจัดการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ 6 ขั้นตอน เรื่องโมเมนตัม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.53 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.64 ซึ่งจัดอยู่ในระดับดีมาก
This research aimed to 1. develop a 6-step inquiry-based learning plan on the topic of momentum, and 2. investigate the teamwork abilities of students. The participants were 17 Grade 11 students in the first semester of the 2024 academic year, selected through purposive sampling. Research instruments included 1) a 6-step inquiry-based learning plan on momentum, 2) a teamwork ability assessment rubric, and (3) teamwork ability assessment criteria. Data were analyzed using mean and standard deviation. The 6-step inquiry-based learning management plan on momentum has an Index of Item-Objective Congruence (IOC) of 0.61. The team collaboration assessment form has an IOC of 0.72. Both are suitable for use. The students' teamwork ability scores during the 6-step inquiry-based learning lesson on momentum had an average of 2.53 and a standard deviation of 0.64, which is interpreted as being at a very good level.
เอกสารอ้างอิง
กัญณภัทร แสนพวง. (2562). การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนภาษาไทยเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดขั้นสูงของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. วารสารแพรวามหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์, 6(3), 364-382.
เกสร กอกอง. (2565). การจัดกิจกรรมให้ความรู้แก่ผู้ปกครองเด็กปฐมวัย โดยใช้หลักเข้าถึง เข้าร่วม และเข้าใจ เพื่อส่งเสริมความเข้าใจ และสร้างความตระหนักถึงความสำคัญต่อการเตรียมความพร้อมของเด็กปฐมวัย. วารสารการบริหารจัดการและนวัตกรรมท้องถิ่น, 4(3), 88-98.
จิราภรณ์ มีสง่า และชนกานต์ ขาวสำลี. (2563). การพัฒนารูปแบบชุมชนแห่งการสืบสอบเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดขั้นสูงของนักศึกษาครู. วารสารการวัดผลการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 26(2), 104-118.
พีระพล ชูศรีโฉม. (2563). ผลการจัดการเรียนรู้สุขศึกษาโดยใช้การสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และทักษะการคิดขั้นสูงของนักเรียนมัธยมศึกษา. [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต]. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
วชิรา อยู่ศุข. (2563). ผลการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานที่มีต่อผลงานการสร้างสื่อการเรียนรู้ และการทำงานร่วมกันเป็นทีมของนักศึกษาระดับปริญญาตรี. วารสารนาคบุตรปริทรรศน์ มหาวิยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช, 12(3), 79-88.
วิภาดา พินลา, วิภาพรรณ พินลา และณัชชา มหปุญญานนท์. (2566). การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ และทักษะการคิดขั้นสูงสำหรับ นักเรียนโรงเรียนขนาดเล็ก. วารสารศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยทักษิณ, 23(2), 27-42.
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2560). แผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ. 2560 – 2579) พิมพ์ครั้งที่ 1. พริกหวานกราฟฟิค.
สุนารี ฝีปากเพราะ และพิมพ์รวี ศรีรันต์. (2566). การพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูง ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ด้วยการสอนภาษาไทยผ่านวรรณกรรมร่วมกับกระบวนการ“ชง-เชื่อม-ใช้”. [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์.







