รูปแบบการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษาเพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสังกัดเทศบาลนครขอนแก่น

ผู้แต่ง

  • Phra Taxi Keokalong Mahachulalongkornrajavidyalaya University

คำสำคัญ:

รูปแบบการจัดการเรียนรู้, การจัดการเรียนรู้สังคมศึกษา, การอนุรักษ์วัฒนธรรม

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑) ศึกษาสภาพ ๒) สร้างรูปแบบ ๓) ใช้รูปแบบ และ ๔) ประเมินการใช้รูปแบบ ใช้ระเบียบวิธีวิจัยและพัฒนา (R & D) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียน จำนวน ๒๖๘ คน การสนทนากลุ่ม (Focus Group) จำนวน ๙ ท่าน ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ๑๑ ท่าน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ๑) แบบสอบถาม ๒) แบบสัมภาษณ์ ๓) รูปแบบ และ ๔) แบบประเมิน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test และ วิเคราะห์แบบสัมภาษณ์ด้วยวิธีเชิงพรรณนา ผลการวิจับพบว่า ๑. สภาพและแนวทางในการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษาเพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (  = ๔.๐๕, S.D. = ๐.๑๒) ผลจากการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ทั้ง ๕ ด้าน พบว่า ควรจัดรูปแบบการเรียนการสอนที่ครอบคลุมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงวัฒนธรรมของชุมชน สร้างความตระหนักรู้ถึงคุณค่าและความสำคัญของวัฒนธรรม ศึกษาลักษณะความต้องการของผู้เรียน กำหนดสิ่งที่ผู้เรียนควรทราบ ออกแบบกิจกรรมที่สนับสนุนการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ เลือกสื่อและเครื่องมือที่เหมาะสม คัดสรรและการพัฒนาเนื้อหาให้มีการเชื่อมโยงกับบริบททางสังคม และวัฒนธรรมของผู้เรียนอย่างเหมาะสม มีการวัดความรู้ของผู้เรียนที่หลากหลาย ๒. การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ โดยการใช้รูปแบบ “DC3 STD MODEL” (๑) Development พัฒนา (๒) Cultural เข้าใจวัฒนธรรม (๓) Connecting เชื่อมโยงความรู้ (๔) Community ชุมชน (๕) Skills สร้างทักษะ (๖) Teamwork การทำงานเป็นทีม (๗) Diversity ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ภาพรวมของรูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด ๓. ผลจากการใช้รูปแบบหลังเรียน พบว่า คะแนนเฉลี่ยการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนของนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย สูงกว่าก่อนเรียนโดยนัยสำคัญทางสถิติที่ ๐.๐๐ โดยภาพรวมของกลุ่มเป้าหมายต่อรูปแบบอยู่ในระดับมาก ๔. การประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษาเพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรม ทั้ง ๕ ด้าน ผลประเมินโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (  = ๔.๕๐, S.D.=๐.๒๑)

เอกสารอ้างอิง

จักรกฤษณ์ ไชยรินทร์. (2562). การอนุรักษ์ฟื้นฟูและการจัดการจารีตประเพณีศิลปวัฒนธรรมดั้งเดิม เพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (รัฐประศาสนศาสตร์), บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยรังสิต.

ทับทิม เป็งมล. (2564). กระบวนการสืบทอดวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ดำ ในกลุ่มเด็กและเยาวชน พื้นที่การท่องเที่ยวชุมชนบ้านจ่าโบ่ อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน. รายงานวิจัย, วิทยาลัยแม่ฮ่องสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ วิทยาเขตแม่ฮ่องสอน.

ไปรยาลภัส สหพัฒนสมบัติ, ป. ร., สิราวรรณ จรัสรวีวัฒน์,. (2020). ผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษาเพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนาประเทศกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. Journal of Graduate School Sakon Nakhon Rajabhat University, 17(79), 21-32.

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ. (2562). 334-2562.

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ. (2542). พระราชกิจจานุเบกษา. กรุงเทพมหานคร:สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, 2–8.

พระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ. (2553). พระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2553, หมวด 1, มาตรา 18 (4). 34.

วลิดา อุ่นเรือน. (2563). การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมร่วมกับแนวคิดการเรียนรู้ตามสภาพจริง เพื่อส่งเสริมความสามารถในการจัดการเรียนรู้ที่เน้นความแตกต่างระหว่างบุคคลสำหรับนักศึกษาครู. วิทยานิพนธ์ดุษฎีบัณฑิต หลักสูตรและการสอน, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยนเรศวร พุทธศักราช).

สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2560). แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579. กรุงเทพมหานคร: บริษัทพริกหวานกราฟฟิค จำกัด, 71 - 72.

อิษฏาภรณ ์ นิยมวงศ์. (2565). กระบวนทัศน์ใหม่ในการจัดการเรียนการสอน หลักสูตรสาขาวิชาศิลปศึกษาของสถาบันอุดมศึกษา. ปริญญานิพนธ์ดุษฎีบัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

Yamane, T. (1973). Statistics an introductory analysis. New York: New York: Harper & Row, 727-728.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2024-12-31

รูปแบบการอ้างอิง

Keokalong, P. T. (2024). รูปแบบการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษาเพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสังกัดเทศบาลนครขอนแก่น. Journal of Buddhist Education and Research (JBER), 10(4), 308–320. สืบค้น จาก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jber/article/view/277102

ฉบับ

ประเภทบทความ

สารบัญ