“วัฒนธรรม” ถือเป็นสัญลักษณ์เชิงประจักษ์ที่แสดงให้เห็นถึง “ความเจริญ งอกงาม” ของ “สังคม” ใดสังคมหนึ่ง สิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรมเกิดขึ้นจากกระบวนการเรียนรู้และการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันของผู้คนในสังคม โดยวัฒนธรรมสามารถปรากฏผ่านได้ทั้งสิ่งที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีความหลากหลายและแตกต่างกันออกไปในแต่ละสังคมภายใต้การกำหนดและให้ “คุณค่า (Value)” ต่อวัฒนธรรมในแต่ละสังคมที่ดำเนินไปอย่างเป็นพลวัต ฉะนั้น การดำรงอยู่ของวัฒนธรรมจึงเปรียบเสมือนเป็นการดำรงอยู่ของความเจริญงอกงามทางสังคมนั้น ๆ เช่นเดียวกันกับเนื้อหาของวารสารไทยคดีศึกษา ปีที่ 20 ฉบับที่ 1 เล่มนี้ ถือเป็นอีกเล่มหนึ่งที่ทำหน้าที่ในการสะท้อนภาพความเจริญงอกงามทางสังคมที่ปรากฏผ่านวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่โดดเด่นแตกต่างหลากหลายกันออกไป

            บทความแรก วัฒนธรรมห้องข่าวโทรทัศน์ไทย กับการตรวจสอบข่าวปลอม เขียนโดย วิไลวรรณ จงวิไลเกษม ความน่าสนใจของบทความนี้ผู้เขียนพยายามนำเสนอให้เห็นถึงวัฒนธรรมการทำงานของห้องข่าวโทรทัศน์ไทยในการตรวจสอบข่าวปลอมที่ยังยึดติดกับโครงสร้างการทำงานและกระบวนการผลิตข่าวของกองบรรณาธิการที่มีตั้งแต่ยุค แอนะล็อก ซึ่งไม่มีผู้ทำหน้าที่ในการตรวจสอบความเท็จจริงของข่าวเป็นการเฉพาะ โดยการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข่าวเป็นหน้าที่ของผู้สื่อข่าวและทุกคนในกองบรรณาธิการ ยิ่งไปกว่านั้น ทุกห้องข่าวโทรทัศน์ไทยกลับยังไม่มีนโยบายใด ๆ ในการตอบโต้ข่าวปลอมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

            ต่อด้วยบทความ ภาษาสื่ออัตลักษณ์ไทใหญ่ในผลิตภัณฑ์สินค้า เขียนโดย  พรรณิดา ขันธพัทธ์ ความน่าสนใจของบทความนี้อยู่ที่ผู้เขียนต้องการชี้ให้เห็นอัตลักษณ์ทางภาษาของชาวไทใหญ่ที่ปรากฏในผลิตภัณฑ์สินค้าต่าง ๆ โดยภาษาในฐานะวัฒนธรรมที่ถูกแปรรูปเป็นสินค้าได้สื่อถึงความเจริญงอกงามของสังคมไทใหญ่ทั้งในมิติประวัติศาสตร์ การเมือง วัฒนธรรม ไปจนถึงความปรารถนาและความรู้สึก อย่างไรก็ตาม การแสดงออกในปัจจุบันมิได้เน้นแต่เพียงข้อความที่สื่อถึงอัตลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ การเมือง ประเพณี และวัฒนธรรมเท่านั้น หากแต่มีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับบริบทวัฒนธรรมสมัยใหม่ด้วยการนำเอาข้อความอื่น ๆ อาทิ การสื่อถึงความรัก ความอบอุ่นของครอบครัว ฯลฯ เข้ามาปรับใช้มากขึ้น

            ถัดมาเป็นบทความ แถน: มโนทัศน์และความเข้าใจในสังคมอีสาน เขียนโดย วุฒิชัย สว่างแสง และพุทธรักษ์ ปราบนอก ความน่าสนใจของบทความนี้อยู่ที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอให้เห็นถึงมโนทัศน์เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องแถนที่สื่อความหมายถึงวิญญาณฟ้าในฐานะเป็นพระเจ้าสูงสุดผู้สร้างโลกและมนุษย์ โดยคนอีสานให้ความเคารพต่อความเชื่อเรื่องแถนในฐานะผีบรรพบุรุษที่เรียกว่าผีฟ้าหรือผีแถน ปัจจุบันความเข้าใจและความเข้มข้นของความเชื่อแตกต่างไปจากในอดีต ส่งผลให้การนำเสนอมโนทัศน์เรื่องแถนในสังคมอีสานถูกนำเสนอผ่านมิติต่าง ๆ ทั้งความเชื่อ ประเพณี สังคม วิถีชีวิต วรรณกรรม บทกวี ไปจนถึงถูกนำเสนอในฐานะเป็นมรดกทางภูมิปัญญาและทุนทางวัฒนธรรม มากกว่าการเผยแผ่ความเชื่อและคำสอนแบบศาสนา

            ตามมาด้วยบทความ จิตรกรรมชุดเวสสันดรชาดกฝีมือช่างเพชรบุรี ระหว่าง พ.ศ. 2450 - 2490 เขียนโดย ดวงกมล บุญแก้วสุข ความน่าสนใจอยู่ที่ผู้เขียนได้นำเสนอให้เห็นถึงลักษณะของจิตรกรรมชุดเวสสันดรชาดกฝีมือช่างเพชรบุรีที่มีเนื้อหาของจิตรกรรมสัมพันธ์กับจำนวนตอนในมหาชาติคำหลวงประกอบด้วยภาพจำนวน 13 ภาพ ยกเว้นภาพชุดฝีมือนายเลิศ พ่วงพระเดช ที่มีภาพฉากปฐมบทเพิ่มมารวมเป็น 14 ภาพ โดยฝีมือช่างเพชรบุรีมีเทคนิคการเขียนจิตรกรรมแนวไทยประเพณีอิทธิพลตะวันตกที่นำเทคนิคแสงเงาและทัศนียวิทยามาปรับใช้ หากแต่ความถูกต้องตามหลักการเขียนภาพแบบตะวันตกเริ่มชัดเจนขึ้นใน พ.ศ. 2475 ปรากฏผ่านฝีมือนายเลิศ พ่วงพระเดช ที่ได้เข้าร่วมเขียนจิตรกรรมฝาผนังระเบียงคดวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

            จากนั้นเป็นบทความ ธรรมาสน์ทรงบุษบกวัดท่าศาลารามในพิพิธภัณฑ์ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ: ขั้นตอนการอนุรักษ์และบทสะท้อนวัฒนธรรมการสร้างธรรมาสน์เมืองเพชรบุรี ช่วงครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ 25 เขียนโดย ชนัญญ์ เมฆหมอก และเหมือนพิมพ์ สุวรรณกาศ ความน่าสนใจอยู่ที่ผู้เขียนพยายามชี้ให้เห็นถึงพลวัตของวัฒนธรรมการสร้างธรรมาสน์ทรงบุษบกในเมืองเพชรบุรี ช่วงครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ 25 ผ่านธรรมาสน์ทรงบุษบกวัดท่าศาลาราม ถือเป็นหลักฐานหนึ่งแสดงให้เห็นถึงความเจริญงอกงามทางศิลปกรรมเมืองเพชรบุรีปรากฏผ่านวัฒนธรรมการสร้างธรรมาสน์ในช่วงครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ 25 ตอนต้น (พ.ศ. 2420 - 2473) ที่นิยมของกลุ่มกระฎุมพีในการอุปถัมภ์บำรุงศาสนาโดยมีศิลปะ ลวดลาย รูปทรงของกลุ่มช่างที่แตกต่างกันไปจากช่วงครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ 25 ตอนกลาง (พ.ศ. 2478 - 2490) และตอนปลาย (พ.ศ. 2491 - 2509)

            ต่อเนื่องด้วยบทความ แช่ม บุนนาค กับการสร้างต้นตำนานอุไทย: ประวัติศาสตร์แบบใหม่ ต้นกำเนิดชนชาติไทย และการย้ายถิ่นฐานของชนชาติไทย (ค.ศ. 1889 - 1890) เขียนโดย นิตยาภรณ์ พรมปัญญา ความน่าสนใจของบทความนี้อยู่ที่ผู้เขียนพยายามชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการสร้างประวัติศาสตร์และบริบททางการเมืองระหว่างประเทศในปลายศตวรรษที่ 19 ผ่านงานเขียนเรื่องต้นตำนานอุไทย เรียบเรียงโดย แช่ม บุนนาค (ค.ศ. 1864 - 1907) เป็นงานเขียนประวัติศาสตร์แบบใหม่ที่มีเนื้อหาเน้นเรื่องต้นกำเนิดชนชาติไทยและการย้ายถิ่นฐานชนชาติไทยในอดีตที่มาจากจีนและอินเดียกลาง ซึ่งงานเขียนต้นตำนานอุไทยถูกสร้างขึ้นมาภายใต้บริบทความขัดแย้งเรื่องเขตแดนระหว่างอังกฤษและสยามในช่วง ค.ศ. 1889

            ถัดไปเป็นบทความ พลวัตทางประวัติศาสตร์การสงครามสมัยธนบุรี เขียนโดย สำราญ ผลดี ความน่าสนใจของบทความนี้อยู่ที่ผู้เขียนพยายามชี้ให้เห็นถึงมูลเหตุ สภาพการณ์ ยุทธศาสตร์ และยุทธวิธีด้านการสงครามของไทยช่วงปลายกรุงศรีอยุธยาจนสิ้นแผ่นดินธนบุรี (พ.ศ. 2303 - 2325) ที่ผู้เขียนพบว่ามูลเหตุสำคัญนำมาซึ่งสงครามระหว่างกรุงศรีอยุธยากับพม่าคราวเสียกรุงฯ ครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2310) มาจากแนวคิดเรื่องจักรพรรดิราชและปัญหากลุ่มชาติพันธุ์มอญ ภายหลังพระยาตากทรงปราบดาภิเษกพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์ พระองค์ทรงต้องทำสงครามเป็นจำนวนมาก มีการใช้ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่หลากหลาย พร้อมกันนี้ พระองค์ทรงเลือกใช้แม่ทัพนายกองอายุน้อยที่มีความรู้ ความสามารถ และจงรักภักดี ส่งผลให้พระองค์ทรงได้รับชัยชนะ

            สุดท้ายเป็นบทความ ความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างรัฐและศาสนาอิสลามในสังคมสมัยใหม่: กรณีศึกษาการบริหารองค์กรศาสนาอิสลามของจังหวัดเชียงใหม่ เขียนโดย สุจินดา คำจร ความน่าสนใจของบทความนี้อยู่ที่ผู้เขียนได้นำเสนอให้เห็นถึงลักษณะความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างรัฐและศาสนาอิสลามในสังคมสมัยใหม่ผ่านการศึกษาถึงบทบาทของคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงใหม่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย โดยลักษณะความสัมพันธ์เชิงอำนาจดังกล่าวได้กำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะตัวแทนของรัฐไทยมีอำนาจรับรองผู้ดำรงตำแหน่งอิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น ขณะเดียวกันคณะกรรมการฯ ดังกล่าวยังได้มีการร่วมมือกันกับรัฐเพื่อต่อรองให้ชาวมุสลิมมีพื้นที่ทางสังคมที่มากขึ้นผ่านการเลือกตั้งอิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น ของตนที่มีอำนาจทั้งในทางขนบธรรมเนียมประเพณีและอำนาจตามกฎหมาย

            นอกจากนี้ วารสารไทยคดีศึกษาฉบับนี้ยังมีบทวิจารณ์หนังสือ ความเป็นอนัตตาของนิพพาน เขียนโดย วัชระ งามจิตรเจริญ วิจารณ์โดย เทียมจิตร์ พ่วงสมจิตร์ ความน่าสนใจของการวิจารณ์หนังสืออยู่ที่ผู้วิจารณ์ได้ชี้ให้เห็นจุดเด่นของหนังสือในหลากหลายประการตั้งแต่วัตถุประสงค์ของหนังสือที่ผู้เขียนพยายามนำเสนอถึงนิพพานอันเป็น มโนทัศน์ที่สำคัญแต่เข้าใจยากด้วยการเสนอผ่านมุมมองใหม่ การวางกรอบการอภิปรายยังกระทำได้อย่างครอบคลุมทุกมิติ การใช้หลักฐานอ้างอิงที่กว้างขวางและครอบคลุมประเด็นของเนื้อหา การอภิปรายและมีข้อสรุปเกี่ยวกับนิพพานที่มีความเฉียบคมและน่าสนใจ อันทำให้หนังสือเล่มนี้มีมุมมองเกี่ยวกับนิพพานอย่างรอบด้าน อย่างไรก็ตาม การทำความเข้าใจต่อหนังสือเล่มนี้ยังค่อนข้างยากสำหรับผู้ไม่มีพื้นฐานความรู้เป็นการเฉพาะ พร้อมกันนี้ วารสารฉบับนี้ยังมีการนำเสนอข่าวสารเกี่ยวกับกิจกรรมด้านการวิจัย การบริการวิชาการ และศิลปวัฒนธรรมที่สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดขึ้น ณ ช่วงเดือนมกราคม - มิถุนายน พ.ศ. 2566 อันเป็นพันธกิจสำคัญในการเผยแพร่ความรู้สู่สังคมและการทำนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรมที่สถาบันไทยคดีศึกษาดำเนินการเรื่อยมาจวบจนปัจจุบัน

            ท้ายที่สุดนี้ กองบรรณาธิการหวังว่าวารสารไทยคดีศึกษายังจะเป็นเวทีและสื่อกลางทางวิชาการทำหน้าที่สะท้อนและเผยแพร่องค์ความรู้ทางวิชาการเกี่ยวกับ “ไทย” ในมิติต่าง ๆ ไปสู่ระดับสากล พร้อมกันนี้ ยังสามารถตอบโจทย์ทางด้านวิชาการของผู้สนใจและก่อให้เกิดคุณูปการต่อสังคม รวมถึงยังคงเป็นวารสารทางวิชาการที่ผู้สนใจให้การสนับสนุนสืบไป

เผยแพร่แล้ว: 2023-06-20

แถน: มโนทัศน์และ ความเข้าใจในสังคมอีสาน

วุฒิชัย สว่างแสง, พุทธรักษ์ ปราบนอก

59-92

ความเป็นอนัตตาของนิพพาน

เทียมจิตร์ พ่วงสมจิตร์

270-282