การจัดการเรียนรู้ด้วยทฤษฎีการเรียนรู้มัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมความสามารถในการสร้างชิ้นงานและแรงจูงใจในการเรียนของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
คำสำคัญ:
การจัดการเรียนรู้ด้วยทฤษฎีการเรียนรู้มัลติมีเดีย, ความสามารถในการสร้างชิ้นงาน, แรงจูงใจในการเรียนบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยคือ 1) เพื่อศึกษาความสามารถในการสร้างชิ้นงานของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยทฤษฎีการเรียนรู้มัลติมีเดีย 2) เพื่อเปรียบเทียบแรงจูงในการเรียนของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยทฤษฎีการเรียนรู้มัลติมีเดีย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง(Pre - Experimental Research) แบบแผนการทดลองแบบ One - Group Pretest – Posttest Designและ The One – Shot Case Study กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนกำแพงแสนวิทยา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 42 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องอาณาจักรสัตว์และอาณาจักรพืชโดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยทฤษฎีการเรียนรู้มัลติมีเดีย มีค่าความเหมาะสมเท่ากับ 5.00 2) แบบประเมินความสามารถในการสร้างชิ้นงาน มีค่าความเหมาะสมเท่ากับ 4.333) แบบวัดแรงจูงใจในการเรียน มีค่าความเหมาะสมเท่ากับ 5.00 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ยค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีแบบ dependent และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาความสามารถในการสร้างชิ้นงานของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยทฤษฎีการเรียนรู้มัลติมีเดีย พบว่า นักเรียนมีผลการประเมินความสามารถในการสร้างชิ้นงาน หลังใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยทฤษฎีการเรียนรู้มัลติมีเดียอยู่ในระดับดี (M=2.74, S.D. =0.19) เป็นไปตามสมมุติฐานข้อที่ 1 2) ผลการเปรียบเทียบแรงจูงในการเรียนของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยทฤษฎีการเรียนรู้มัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมความสามารถในการสร้างชิ้นงานและแรงจูงใจในการเรียนของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 พบว่ามีแรงจูงใจในการเรียนเฉลี่ยหลังเรียน (M) เท่ากับ 4.32 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.70 สูงกว่าแรงจูงใจในการเรียนเฉลี่ยก่อนเรียน (M) เท่ากับ 3.32 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.96
เอกสารอ้างอิง
Besemer, S. P., & O’Quin, K. (1999). Confirming the three-factor creative product analysis matrix model in an American sample. Creativity Research Journal, 12(4), 287–296.
Chang, H. Y., Quintana, C., & Krajcik, J. S. (2010). ผลกระทบของการออกแบบและการประเมินแอนิเมชั่นโมเลกุลต่อความเข้าใจของนักเรียนมัธยมต้นเกี่ยวกับธรรมชาติของอนุภาค. การศึกษาวิทยาศาสตร์, 94(1), 73–94.
Davis, K. (1997). HTML visual quick reference. United States of America: Corporation.
Ercan, O. (2014). ผลของการเรียนรู้มัลติมีเดียต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทัศนคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ของนักศึกษา. Journal of Baltic Science Education, 13(5), 608–622.
Mayer, R. E. (1997). การเรียนรู้แบบมัลติมีเดีย: เรากำลังถามคำถามที่ถูกต้องหรือไม่? นักจิตวิทยาการศึกษา, 32(1), 1–19.
Mayer, R. E. (2002). การเรียนรู้แบบมัลติมีเดีย. จิตวิทยาการเรียนรู้และแรงจูงใจ, 41, 85–139.
O’Quin, K., & Besemer, S. P. (2006). Creative products. In J. C. Kaufman & R. J. Sternberg (Eds.), The international handbook of creativity (pp. 175–189). Cambridge University Press.
Pierce, L. B. (2003). The great debate continued: Does daily writing in kindergarten lead to invented spelling and reading? Dissertation Abstracts International, 64(6), 1967–A.
Sorden, S. D. (2011). The cognitive theory of multimedia learning. Retrieved April 8, 2013, from http://sorden.com/portfolio/sorden_draft_multimedia2012.pdf
Volman, M. J. M., Van Schendel, B. M., & Jongmans, M. J. (2006). Handwriting difficulties in primary school children: A search for underlying mechanisms. American Journal of Occupational Therapy, 60.
กอบวิทย์ พิริยะวัฒน์. (2561). การประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ฐาปกร ฤทธิ์มะหา, & ปาริชาติ แสนนา. (2560). โมเดลสมการโครงสร้างของแรงจูงใจในการเรียนชีววิทยาและการให้เหตุผลโดยใช้แบบจำลองเป็นฐานของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย. ใน The 7th NEU National Conference (น. 307–319). ขอนแก่น: มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.
ณรงค์ ทองปาน. (2550). ทฤษฎีและแนวทางการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ทิศนา แขมมณี. (2557). ปลุกโลกการสอนให้มีชีวิตสู่ห้องเรียนแห่งศตวรรษใหม่. เอกสารประกอบการประชุมวิชาการ “อภิวัฒน์การเรียนรู้...สู่จุดเปลี่ยนประเทศไทย”.
บุญชม ศรีสะอาด. (2555). การวิจัยเบื้องต้น (พิมพ์ครั้งที่ 7). กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น.
ปัญจนาฏ วรวัฒนชัย. (2559). กลไกสมองสองซีกกับความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์. Journal of Information, 15(2), 1–12.
พรทิพย์ ศิริภัทราชัย. (2556). STEM Education กับการพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21. วารสารนักบริหาร, 33(2), 49–56.
ไพฑูรย์ สินลารัตน์. (2549). การศึกษาเชิงสร้างสรรค์และผลิตภาพ. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ภาพิสุทธิ์ ภูวญาณพงศ์, & ยุรวัฒน์ คล้ายมงคล. (2558). ผลของกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบสอบโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น บูรณาการร่วมกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่มีต่อทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์. An Online Journal of Education, 10(2), 172–184. https://so01.tci-thaijo.org/index.php/OJED/article/view/35272
ภารดี กล่อมดี. (2561). ผลการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้ชุดแบบฝึกทักษะร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E. วารสารมหาวิทยาลัยศิลปากร, 11(1).
ภัสสร ติดมา, มลิวรรณ นาคขุนทด, & สิรินภา กิจเกื้อกูล. (2558). การจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง STEM Education เรื่องระบบของร่างกายมนุษย์ เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. วารสารราชพฤกษ์, 13(3), 72.
มาเรียม นิลพันธุ์. (2558). วิธีวิจัยทางการศึกษา. นครปฐม: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร.
ยุพา วรยศ, และคณะ. (2551). คู่มือครูวิทยาศาสตร์ ม.1 เล่ม 2. กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์.
วรทา รุ่งบานจิต. (2559). แรงจูงใจในการเรียนวิชาภาษาจีนของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา. (รายงานวิจัย). ยะลา: มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา.
วรรณภา อ่างทอง, บังอร แถวโนนงิ้ว, & ประสาท เนืองเฉลิม. (2563). การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานตามแนวทางสะเต็มศึกษา. วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม, 14(1), 92.
วศิณีส์ อิศรเสนา ณ อยุธยา. (2559). เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ STEM Education (สะเต็มศึกษา). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
วิจารณ์ พาณิช. (2556). การสร้างการเรียนรู้สู่ศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: ส.เจริญการพิมพ์.
วิชัดชณา จิตรักศิลป์, ถาดทอง ปานศุภวัชร, & นิติธาร ชูทรัพย์. (2560). การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์โดยการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาเรื่องแรง การเคลื่อนที่ และพลังงาน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. วารสารวิชาการหลักสูตรการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร, 10(27), 87–97.
วัชรียา พรพรมพันธ์, อรุณรัตน์ คำแหงพล, & ถาดทอง ปานศุภวัชร. (2563). การเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่องพอลิเมอร์ โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค POE และการจัดการเรียนรู้แบบปกติ. (วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร.
ศรีสุวรรณ ศรีสร้อย. (2559). การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และการคิดวิเคราะห์โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ตามวัฏจักรการเรียนรู้แบบ 7 ขั้น เรื่องระบบนิเวศ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์. (วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร.
สกลรัชต์ แก้วดี. (2560). แรงจูงใจและการเรียนรู้ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในห้องเรียนวิทยาศาสตร์. วารสารครุศาสตร์, 45(1), มกราคม–มีนาคม 2560.
สมบัติ ท้ายเรือคำ. (2549). การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
อรรถพล แท่นแก้ว. (2551). การวัดและประเมินผลการเรียนรู้. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
อารี พันธ์มณี. (2542). จิตวิทยาการเรียนการสอน. กรุงเทพฯ: เลิฟแอนด์ลิพเพรส.
อุรัจฉทาธ์ นามรักษ์. (2555). ปัจจัยบางประการที่ส่งผลต่อการกำกับตนเองในการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
หมวดหมู่
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Buddhist Education and Research (JBER)

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.

