“ความเป็นไทย” ถือเป็นวาทกรรมทางความคิดที่ถูกนำมาใช้เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงอัตลักษณ์และการมีตัวตนทางวัฒนธรรมของชนชาติไทย ไปพร้อมกันกับถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการขยายอิทธิพลทางความคิดและวัฒนธรรมความเป็นไทยสู่การเป็นสินค้าและบริการที่สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ภายใต้บริบทการเคลื่อนไหลทางวัฒนธรรมโลก (Global Culture) อย่างเป็นพลวัตจากการเข้ามามีบทบาทในพื้นที่สาธารณะของโลกาภิวัฒน์ เช่นเดียวกับเนื้อหาของวารสารไทยคดีศึกษา ปีที่ 19 ฉบับที่ 2 เล่มนี้ ถือประกอบขึ้นจากองค์ความรู้ในศาสตร์และศิลป์ต่าง ๆ ที่หลากหลายทำหน้าที่สะท้อนความเป็นไทยผ่านมุมมองทางความคิดที่มีความหลากหลายและเป็นพลวัต
บทความแรก ความเป็นไทยใน “ที - ป๊อป”: การนำเสนอศิลปะและวัฒนธรรมที่ปรากฏในมิวสิควิดีโอเพลงไทยสมัยนิยม กรณีศึกษามิวสิควิดีโอของกลุ่มศิลปินหญิง และกลุ่มศิลปินไอดอลหญิงไทย ระหว่าง พ.ศ. 2554 - 2564 เขียนโดย ธนะปิติ ธิป๋า ความน่าสนใจของบทความนี้ผู้เขียนพยายามนำเสนอให้เห็นถึงการนำวัฒนธรรมความเป็นไทย (Thainess) มาเป็นส่วนหนึ่งของมิวสิควิดีโอเพลงไทยสมัยนิยม (ที - ป๊อป) ที่ปรากฏจำนวนไม่มากของกลุ่มศิลปินหญิง (Girl Group) และกลุ่มศิลปินไอดอลหญิง (Idol Girl Group) อาทิ มิวสิควิดีโอเพลงยังโสดของโอลีฟส์ (Olives) มิวสิควิดีโอเพลงลูกอมปีศาจของทศเกิร์ล (Tossagirls) ฯลฯ ขณะที่มิวสิควิดีโอเพลงไทยสมัยนิยมส่วนใหญ่ยังคงได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมตะวันตก ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฯลฯ มีเป้าหมายเพื่อการสร้างความทันสมัยและการเข้าถึงตลาดกลุ่มวัยรุ่นเป็นสำคัญ
ต่อด้วยบทความ รำโทนโคกสาวหลง: กระบวนการสร้าง “ความจริงแท้เชิงประดิษฐ์” ในการจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของบ้านโคกสลุง เขียนโดย พรสวรรค์ ตรีพาสัย ความน่าสนใจของบทความนี้อยู่ที่ผู้เขียนต้องการชี้ให้เห็นความจริงแท้ของการแสดงรำโทนโคกสาวหลงที่ถูกประกอบสร้างขึ้นจากการผสมผสานระหว่างตำนานโคกสาวหลงกับการเล่นรำโทนมาเป็นเครื่องมือในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและประสบการณ์การเรียนรู้ทางวัฒนธรรมความเป็นไทยเบิ้งโคกสลุงที่เสมือนจริงให้กับนักท่องเที่ยว จนสุดท้ายวัฒนธรรมดังกล่าวได้ก่อให้เกิดคุณค่าทางจิตใจที่หยั่งลึกกลายเป็นความจริงแท้ที่ภาคภูมิใจในความรู้สึกของชาวไทยเบิ้งโคกสลุงผู้เป็นเจ้าของวัฒนธรรม
ตามมาด้วยบทความ การประยุกต์ใช้มิติทางวัฒนธรรมสู่การจัดการท่องเที่ยวชุมชนบ้านห้วยหวายพัฒนา จังหวัดบุรีรัมย์ เขียนโดย อุทิศ ทาหอม สุจิตรา ยางนอก เขมิกา อารมณ์ และสันติภาพ ชารัมย์ ที่ต้องการนำเสนอให้เห็นถึงการประยุกต์ใช้ทุนทางวัฒนธรรมในการจัดการการท่องเที่ยวและดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวในชุมชนบ้านห้วยหวายพัฒนา โดยได้มีการประยุกต์ใช้มิติทางวัฒนธรรมอย่างรอบด้านเข้ามาสนับสนุนการท่องเที่ยวชุมชน พร้อมกันนี้ ยังได้มีการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวชุมชนผ่านช่องทางต่าง ๆ โดยมีระบบบริหารจัดการกลุ่มชุมชนท่องเที่ยวที่ชัดเจนและมีความพร้อมรองรับการท่องเที่ยวชุมชน นำมาสู่การสร้างงานและสร้างอาชีพให้กับชุมชนจากการมีนักท่องเที่ยวและจากการขายผักปลอดสารพิษ
ถัดจากนั้นเป็นบทความ ที่มาและพัฒนาการของลวดลายใบอะแคนตัสในงานศิลปกรรมของไทย เขียนโดย ศุภชัย เสริมสุขเจริญชัย ความน่าสนใจอยู่ที่ผู้เขียนพยายามชี้ให้เห็นถึงที่มาและพัฒนาการของลวดลายใบอะแคนตัสที่ปรากฏครั้งแรกผ่านงานศิลปกรรมในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อันเป็นช่วงระยะเวลาที่กรุงศรีอยุธยามีการติดต่อกับชาติตะวันตกอย่างใกล้ชิด ลวดลายดังกล่าวนิยมนำมาใช้ตกแต่งสถาปัตยกรรมโดยเฉพาะส่วนหน้าบันของอาคารทรงตึก และมีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่องจวบจนในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ลวดลายดังกล่าวมีลักษณะและรูปแบบเป็นแบบศิลปะตะวันตกแท้ ๆ เนื่องด้วยช่างชาวตะวันตกได้เข้ามาทำงานใน ราชสำนักสยาม โดยช่างศิลป์ทั้งในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ต่างมีกลวิธีในการนำลวดลายใบอะแคนตัสมาประดิษฐ์ให้เป็นลายไทยก่อนนำไปประยุกต์ใช้ผูกกับลายไทย ต่าง ๆ
ต่อด้วยบทความ แช็คมุฮัมหมัดอาลี ซุกรีย์: พิธีกรรมและความเชื่อของชาวมุสลิมภูเขาทอง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เขียนโดย คมลักษณ์ ไชยยะ ความน่าสนใจของบทความนี้อยู่ที่ผู้เขียนพยายามชี้ให้เห็นถึงหลักการและแนวทางปฏิบัติของชาวมุสลิมกอดิรียะฮ์ภูเขาทอง ที่ให้ความนับถือต่อแช็คมุอัมหมัดอาลี ซุกรีย์ (พ.ศ. 2391 - 2475) จากแนวทางของกลุ่มที่ให้ความสำคัญต่อผู้นำเป็นอย่างมาก สะท้อนผ่านพิธีกรรมและความเชื่อหลักเฉพาะกลุ่มที่จัดขึ้น 4 งานในหนึ่งปี โดยจะมีขบวนแห่คานหามของโต๊ะกีแซะฮ์ในฐานะศูนย์รวมจิตใจเป็นสัญลักษณ์โดดเด่นในทุกพิธีกรรมแตกต่างไปจาก ชาวมุสลิมกลุ่มอื่น ทั้งนี้ ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันพิธีกรรมและความเชื่อดังกล่าวยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างขวัญกำลังใจและเชื่อมโยงกลุ่มเครือญาติชาวมุสลิมภูเขาทองและชาวมุสลิมในหลายพื้นที่
ตามต่อด้วยบทความ เทคโนโลยีแห่งความตาย เสียงกรีดร้องที่เลือนหาย สันติภาพจากการประหารชีวิต เขียนโดย ภูวดล ไชยอินทร์ ความน่าสนใจของบทความนี้อยู่ที่ผู้เขียนพยายามนำเสนอให้เห็นถึงการปะทะกันของกรอบความคิดทางการเมืองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับบทบาทของเทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือของรัฐในการลงโทษและการจัดการความตายผ่านการประหารชีวิตของมนุษย์ผู้อยู่ใต้การปกครอง ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดังกล่าวมักถูกอ้างเป็นการพัฒนาที่คำนึงถึงเงื่อนไขของความเป็นมนุษย์และมุ่งสร้างสันติภาพในสังคม หากแต่ความจริงกลับเป็นเครื่องมือของรัฐในการปกครองครอบงำความคิดของผู้คนและขัดขวางการเกิดขึ้นของสันติภาพ
จากนั้นต่อด้วยบทความ วาทกรรรม “แม่วัยรุ่น” กรณีศึกษา แผนยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นระดับชาติ พ.ศ. 2560 - 2569 เขียนโดย พัชชา เจิงกลิ่นจันทร์ มาลี จิรวัฒนานนท์ และนฤพนธ์ ด้วงวิเศษ ความน่าสนใจอยู่ที่ผู้เขียนวิเคราะห์วาทกรรมแม่วัยรุ่นในแผนยุทธศาสตร์ฯ ผ่านวิธีวิเคราะห์วาทกรรมของ มิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault) มองว่าการให้ความหมายแม่วัยรุ่นมีความเป็นเอกภาพตามความรู้สมัยใหม่และถูกอธิบายว่าเป็นปัญหาสังคมที่มีสถานภาพคาบเกี่ยวทั้งกลุ่มเด็กและวัยรุ่น สอดคล้องกับองค์ความรู้เรื่องเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ที่มุ่งควบคุมผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ทำให้มายาคติเรื่องเพศยังคงดำรงอยู่ โดยรัฐไทยยังใช้การควบคุมปกครองแบบชีวญาณผลิตซ้ำวาทกรรมเด็กดีและความรับผิดชอบทางเพศ ฉะนั้น สังคมจึงคาดหวังให้แม่วัยรุ่นเลี้ยงดูลูก ทำให้แม่วัยรุ่นที่ไม่ได้เลี้ยงลูกเองถูกมองว่าไม่มีความรับผิดชอบ
สุดท้ายเป็นบทความ ทศวรรษไทยคดี: สถานภาพทางวิชาการและองค์ความรู้ เขียนโดย รัชพล แย้มกลีบ ความน่าสนใจของบทความนี้อยู่ที่ผู้เขียนได้มีการสำรวจสถานะองค์ความรู้ของงานวิจัยภายในสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผ่านการสังเคราะห์งานวิจัยได้รับทุนวิจัยจากแหล่งทุนต่าง ๆ ในช่วงระยะเวลาทศวรรษ (พ.ศ. 2552 - 2561) งานวิจัยส่วนใหญ่ของสถาบันฯ จะได้รับการสนับสนุนจากภายในเป็นหลัก การดำเนินการวิจัยที่เกิดขึ้นมีจุดเริ่มต้นจากความเชี่ยวชาญและความสนใจของนักวิจัยเป็นพื้นฐานสำคัญในการทำวิจัยเชื่อมโยงไปสู่องค์ประกอบอื่น ๆ ของงานวิจัย เช่นนี้ส่งผลให้ลักษณะการดำเนินการวิจัยจะเป็นการดำเนินงานร่วมกันระหว่างนักวิจัยภายในสถาบันมากกว่าดำเนินการวิจัยเพียงคนเดียวเนื่องจากประเด็นการวิจัยต่าง ๆ จำต้องอาศัยองค์ความรู้ที่แตกต่างหลากหลายของทีมนักวิจัย
ยิ่งไปกว่านั้น วารสารไทยคดีศึกษาฉบับนี้ยังมีบทวิจารณ์หนังสือ รสนิยมและแฟนคลับละครไทยในอาเซียนและจีน การตลาดและการเมืองเรื่องอารมณ์ในโลกออนไลน์ เขียนโดย อัมพร จิรัฐติกร วิจารณ์โดย บุณยนุช นาคะ ความน่าสนใจของการวิจารณ์หนังสือนี้อยู่ที่ผู้วิจารณ์ได้ชี้ให้เห็นว่าการศึกษาแฟนคลับที่มีลักษณะเป็นพลวัตตามกลุ่มวัฒนธรรมย่อยและความชื่นชอบ จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับรายละเอียดย่อยที่สัมพันธ์กับสถานการณ์ เวลา และบริบทต่าง ๆ ในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกันนี้ ยังชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญในหนังสือที่กล่าวถึงภาคอุตสาหกรรมสินค้าวัฒนธรรม บทละครและโทรทัศน์ไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นระบบจากรัฐบาลได้กลายมาเป็นอุปสรรคสำคัญในการส่งออกสินค้าวัฒนธรรมไปสู่ตลาดต่างประเทศในฐานะอำนาจแบบอ่อน (Soft Power) พร้อมกันนี้ วารสารฉบับนี้ยังมีการนำเสนอข่าวสารเกี่ยวกับกิจกรรมด้านการวิจัย การบริการวิชาการ ศิลปะและวัฒนธรรมที่สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม พ.ศ. 2565 อันเป็นพันธกิจสำคัญในการเผยแพร่ความรู้สู่สังคมและการทำนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรมที่สถาบันไทยคดีศึกษาดำเนินมาตลอดระยะเวลาครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา
ท้ายที่สุดนี้ กองบรรณาธิการหวังว่าวารสารไทยคดีศึกษาจะเป็นเวทีและสื่อกลางทางวิชาการทำหน้าที่สะท้อนและเผยแพร่องค์ความรู้ทางวิชาการเกี่ยวกับ “ไทย” ไปสู่ระดับสากล พร้อมกันนี้ ยังสามารถตอบโจทย์ทางด้านวิชาการของผู้สนใจและก่อให้เกิดคุณูปการต่อสังคม รวมถึงยังคงเป็นวารสารทางวิชาการที่ผู้สนใจให้การสนับสนุนสืบไป
เผยแพร่แล้ว: 2022-12-23