วารสารไทยคดีศึกษาได้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 21 ฉบับที่ 2 โดยบทความในฉบับนี้ยังคงเป็นที่นิยมในฐานะสื่อกลางที่สะท้อนถึงปรากฏการณ์ทางศิลปวัฒนธรรมของสังคมไทยในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ พุทธศาสนา วรรณกรรม การประกอบสร้างความรู้และความจริงทางสังคม รวมถึงวัฒนธรรมร่วมสมัยอย่างการท่องเที่ยว ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกนำเสนอและรวบรวมไว้อย่างครบถ้วนในวารสารฉบับนี้
บทความแรก ระบบการสื่อสารระหว่างราชธานีกับหัวเมืองตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาถึงรัชกาลที่ 5 ของ วิภัส เลิศรัตนรังษี และจุฬาพร เอื้อรักสกุล บทความนี้ตรวจสอบความเชื่อที่ว่าการเดินทางที่ยากลำบากและความห่างไกลเป็นสาเหตุของการสื่อสารที่ล่าช้าระหว่างหัวเมืองและราชธานี ที่จะทำให้ผู้อ่านได้พบว่า ระบบการสื่อสารก่อนการปรับปรุงตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงรัชกาลที่ 5 ทำให้หัวเมืองที่ใกล้ราชธานีสามารถสื่อสารได้โดยตรง ส่วนหัวเมืองที่ไกลออกไปต้องส่งเอกสารผ่านหัวเมืองรายทาง ซึ่งหัวเมืองเหล่านั้นมีอำนาจตัดสินใจเองว่าจะส่งเอกสารเมื่อใด การหยุดนิ่งระหว่างทางนี้เป็นสาเหตุหลักของความล่าช้า ไม่ใช่การเดินทางที่ลำบากหรือระยะทาง
บทความลำดับถัดมาคือ การก่อรูปและขยายตัวของความรู้ว่าด้วยอีสาน ระหว่างทศวรรษ 2440 - 2460 ของ เชิดชาย บุตดี และวิศรุต พึ่งสุนทร บทความวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าความรู้ว่าด้วยอีสานในช่วงทศวรรษ 2440 - 2460 เกิดจากหลายปัจจัย โดยเริ่มจากนโยบายการเมืองของรัฐสยาม เช่น ภัยคุกคามจากลัทธิจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสและความแตกต่างระหว่างผู้ปกครองจากกรุงเทพฯ กับชาวลาวในอีสาน งานเขียนสำคัญ เช่น “พงศาวดารหัวเมืองมณฑลอิสาณ” และ “ภูมิศาสตร์ประเทศสยาม” ถูกใช้เพื่อหลอมรวมคนอีสานให้รู้สึกเชื่อมโยงกับความเป็นไทย ความน่าสนใจของบทความนี้คือการสะท้อนให้เห็นว่าความรู้ว่าด้วยอีสานไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากฝ่ายรัฐอย่างเดียว แต่นักวิชาการท้องถิ่นอีสานยังมีบทบาทสำคัญในการร่วมผลิตซ้ำความรู้และอุดมการณ์ของรัฐนั้นด้วย
ไล่เรียงช่วงเวลามาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ บทความเรื่อง นิราส (เลิก) ไพ่ และ นิราสเป็นทหาร: วรรณกรรมคำสอนภายใต้อุดมการณ์ราชาชาตินิยม ของ พรรณราย ชาญหิรัญ ที่ได้ศึกษา “นิราศไพ่” และ “นิราศเป็นทหาร” เป็นนิราศที่แต่งโดยนายเจริญในสมัยรัชกาลที่ 6 หลังจากที่มีการเลิกหวยและบ่อนใน พ.ศ. 2460 และมีการออกกฎหมายเกณฑ์ทหารใน พ.ศ. 2459 ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นถึงจุดเด่นของนิราศทั้งสอง ที่คือการสอนประชาชนผ่านแนวคิดราชาชาตินิยม ซึ่งเน้นเรื่องหน้าที่ของพลเมือง โดยเนื้อหาของนิราศจะสอนให้รักชาติ ศาสนา และกษัตริย์ ส่วนวิธีการสอนมีทั้งการสอนตรง ๆ ใช้ภาพพจน์ และนิทาน เพื่อให้คนเข้าใจง่าย บทความนี้ชี้ชวนให้เรามองวรรณกรรมในยุคนั้นในบริบทของสังคมและการเมือง
ถัดมาในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช บทความเรื่อง “พระราชอำนาจนำ” กับ “การบริหารจัดการน้ำ” ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ของ อาสา คำภา ที่วางเค้าโครงการนำเสนอโดยเริ่มจากบทบาทสำคัญของพระมหากษัตริย์ในอดีตคือการควบคุมและดลบันดาลความอุดมสมบูรณ์ของอาณาจักร ซึ่งรวมถึงการบริหารจัดการน้ำผ่านเทคโนโลยีและวิธีการที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย โดยพระมหากษัตริย์มีสถานะเป็นผู้กระทำการทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ อย่างไรก็ตามผู้เขียนชี้ชวนให้เห็นว่า หลัง พ.ศ. 2475 ความสัมพันธ์ดังกล่าวในข้างต้นได้เปลี่ยนไป โดยเฉพาะในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งบทบาทของพระองค์ในการบริหารจัดการน้ำเกิดขึ้นภายใต้ “พระราชอำนาจนำ” ที่เกิดจากการทรงงานและพระบารมีที่สะสมตลอดการครองราชย์ แม้ไม่มีอำนาจอธิปไตยโดยตรง แต่นโยบายด้านน้ำของพระองค์ได้รับการปฏิบัติตามอย่างกว้างขวาง ถือเป็นลักษณะเฉพาะของรัชสมัยนี้
บทความลำดับที่ห้า คือบทความเรื่อง วัฏฏังคุลีราชชาดก: ความเชื่อเรื่องการสร้างพระพุทธรูปของพุทธศาสนิกชนในสังคมไทย ของ สายหยุด บัวทุม บทความนี้วิเคราะห์เรื่อง วัฏฏังคุลีราชชาดก เพื่อนำเสนอความเชื่อของคนไทยเกี่ยวกับการสร้างพระพุทธรูป ผ่านทฤษฎีการเล่าเรื่องและโครงสร้างของนิทานชาดก ผลการวิจัยจากบทความชี้ให้เห็นว่า วัฏฏังคุลีราชชาดกแสดงถึงความสำคัญของการสร้างพระพุทธรูปในสังคมไทย ซึ่งมีความเชื่อว่าพระพุทธรูปเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า การสร้างพระพุทธรูปช่วยธำรงพระพุทธศาสนาให้อยู่ยาวนานถึง 5,000 ปี พระพุทธรูปสร้างได้จากวัสดุที่หลากหลาย ตลอดจนอานิสงส์ของการสร้างพระพุทธรูป ไม่ว่าจะขนาดเล็กหรือใหญ่ วัสดุใดก็ตาม จะนำความสุข ความสำเร็จ การมีอำนาจ และโอกาสในการบรรลุธรรม รวมถึงการได้พบพระศรีอาริย์และตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ผู้อ่านจะได้ค้นพบความสำคัญของวัฏฏังคุลีราชชาดก ในฐานะวรรณกรรมที่ช่วยสร้างความเข้าใจในความเชื่อเรื่องการสร้างพระพุทธรูปที่มีมายาวนานในสังคมไทย และส่งเสริมความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา
ความเชื่อ ความรู้ และความจริง ได้สืบเนื่องมายังบทความลำดับที่หก การสร้างสุขภาพจิตผู้หญิงในฐานะ “แม่”: ภาษา ปฏิบัติการทางจิตเวชสมัยใหม่ และครอบครัวแบบไทยช่วงยุคพัฒนา ทศวรรษ 2500 - 2520 ของ บุณฑริกา พวงคำ ที่ฉายภาพบทบาทของจิตเวชสมัยใหม่ที่มีส่วนสำคัญในการกำหนดนิยามและบทบาทของผู้หญิงไทยในช่วงยุคพัฒนา โดยชี้ให้เห็นว่าจิตเวชไม่ได้ทำให้ผู้หญิงถูกมองในแง่ลบหรือถูกตีตราเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีส่วนในการประกอบสร้างความเป็น “ผู้หญิงปกติ” ตามมาตรฐานสังคมไทย อย่างไรก็ดีความรู้เหล่านี้ได้ขยายเข้าสู่ครัวเรือนและสังคมไทยในหลายด้าน ทำให้บทบาทและหน้าที่ของผู้หญิงถูกหล่อหลอมขึ้นใหม่ตามแนวคิดจิตวิทยาสมัยใหม่ ผู้อ่านจะได้พบถึงการวิเคราะห์จากมุมมองจิตเวชที่อธิบายว่าความสัมพันธ์ในครอบครัวมีความเชื่อมโยงกัน ผู้เชี่ยวชาญได้เข้ามากำหนดบทบาทของสมาชิกในครอบครัวอย่างชัดเจน ซึ่งการนิยามนี้ยังส่งผลให้สุขภาพจิตของผู้หญิงกลายเป็นรากฐานสำคัญของสุขภาพจิตครอบครัว สุขภาพจิตของพลเมือง ตลอดจนของประเทศชาติ
ต่อเนื่องกับบทความที่ว่าด้วยการรื้อสร้าง กับบทความ ปฏิบัติการรื้อสร้างความเป็นครูไทยในหลักสูตรการฝึกหัดครู ของ ออมสิน จตุพร ที่ศึกษาการรื้อสร้างภาพลักษณ์ “ความเป็นครูไทย” ในหลักสูตรการฝึกหัดครู โดยมองว่าความเป็นครูไทยเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นทางสังคมและมีอำนาจนำที่ถูกมองว่าชอบธรรม งานวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพที่เน้นการวิพากษ์ตนเอง จากผู้วิจัยซึ่งเป็นครูในฐานะผู้วิจัยและผู้ถูกวิจัย ผู้อ่าน จะได้พบกับข้อค้นพบที่น่าสนใจ อาทิ ความเป็นครูไทยถูกฝังลึกในสำนึกร่วมของคนไทย การสอนไตร่ตรองเชิงวิพากษ์ช่วยเปลี่ยนความคิดและความเชื่อของครูและนักศึกษา ตลอดจนการปฏิบัติการสอนไตร่ตรองเชิงวิพากษ์แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างทฤษฎีและการปฏิบัติ ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการเมือง
บทความสุดท้ายที่ยังคงมีความน่าสนใจในมิติวัฒนธรรมร่วมสมัย บทความเรื่อง การพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวแบบเนิบช้าในจังหวัดชัยนาท ของ ภูริวัจน์ เดชอุ่ม และดลฤทัย เจียรกุล ที่รวบรวมและประเมินทรัพยากรการท่องเที่ยวในจังหวัดชัยนาทโดยใช้แนวคิดการท่องเที่ยวแบบเนิบช้า ศึกษาความต้องการของนักท่องเที่ยวเพื่อพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยว รวบรวมภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างคุณค่าให้กับผลิตภัณฑ์ชุมชน และเสนอแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแบบเนิบช้า จากนักท่องเที่ยวจำนวน 430 คน ผลการวิจัยจากบทความนี้ช่วยชี้ให้ผู้อ่านเห็นว่า แม้ในพื้นที่หนึ่ง ๆ จะมีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย แต่ถึงกระนั้นก็มิได้หมายความว่าแหล่งท่องเที่ยวทั้งหมดจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ ดังเช่นในจังหวัดชัยนาท ที่มีแหล่งท่องเที่ยว 38 แห่ง แต่มีเพียง 6 แห่งที่มีศักยภาพสูงสุด นักท่องเที่ยวเน้นการพัฒนากิจกรรมท่องเที่ยวและที่พัก โดยแบ่งเส้นทางออกเป็น 4 เส้นทางหลักคือวัด อาหาร ธรรมชาติ และวิถีชีวิต ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่โดดเด่น ได้แก่ ส้มโอขาวแตงกวา วิถีตาล และผ้าทอ แผนพัฒนาเน้นสร้างภาพลักษณ์ท่องเที่ยว ยกระดับผลิตภัณฑ์ และส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยประชาชน
นอกจากนี้ วารสารไทยคดีศึกษาฉบับนี้ยังมีบทแนะนำหนังสือ ว่างแผ่นดิน ประวัติศาสตร์เปรียบเทียบ “กรุงแตก” ในสามราชอาณาจักร เขียนโดย ศาสตราจารย์ ดร.นิธิ เอียวศรีวงษ์ แนะนำโดย วรินทร สิริพงษ์ณภัทร และณัฐกมล ขุนทอง นอกจากการสังเขปเนื้อหาแล้ว ผู้แนะนำยังช่วยชี้ให้เห็นว่าหนังสือเล่มนี้ได้นำเสนอคำอธิบายที่ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจถึงความเหมือนและความแตกต่างของสามราชอาณาจักรได้แก่ ราชอาณาจักรหงสาวดี - อังวะ ราชอาณาจักรอยุธยา และราชอาณาจักรไดเวียด โดยเน้นว่าการค้าระหว่างประเทศและภายในประเทศเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ประชากรขยายตัว ลักษณะทางประชากรศาสตร์มีบทบาทสำคัญในการบริหารประเทศ ความท้าทายเกิดขึ้นเมื่อผู้ปกครองไม่สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงได้ นำไปสู่สภาวะ “กรุงแตก” หนังสือเล่มนี้ยังได้รวบรวมข้อมูลจากเอกสารหลายแหล่ง ทำให้ผู้อ่านได้รับความรู้ใหม่จากการศึกษาประวัติศาสตร์ข้ามพรมแดน พร้อมสามารถนำไปเปรียบเทียบกับเรื่องอื่น ๆ ได้อย่างกว้างขวาง หนังสือเล่มนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจ ในแง่การวิเคราะห์เปรียบเทียบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจกระบวนการสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในราชอาณาจักร หนังสือยังส่งเสริมมุมมองเชิงวิพากษ์และการตีความเหตุการณ์ในระดับสากล ช่วยให้เข้าใจประวัติศาสตร์ในบริบทที่กว้างขึ้น ทั้งในสังคมไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การนำเสนอหลากหลายมิติของบทความในวารสารฉบับนี้ สะท้อนให้เห็นถึงพลังของความรู้และการวิพากษ์สังคมไทย ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ การเมือง ศาสนา ไปจนถึงวัฒนธรรมร่วมสมัย โดยบทความทุกชิ้นล้วนชี้ให้เห็นว่าความรู้ไม่ใช่สิ่งที่คงที่ แต่เป็นสิ่งที่ก่อรูปขึ้นจากปฏิสัมพันธ์และบริบททางสังคม การศึกษาที่ลุ่มลึกเหล่านี้นอกจากจะสร้างความเข้าใจใหม่ ๆ ยังเป็นการเปิดพื้นที่ให้กับการรื้อสร้างและพัฒนาทั้งในเชิงสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในอนาคต วารสารไทยคดีศึกษาเล่มนี้ จึงเป็นประจักษ์พยานถึงพลังของปัญญาและการสร้างสรรค์ที่ต่อเนื่องเพื่อสังคมไทย
เผยแพร่แล้ว: 2024-12-24